ผลการค้นหารถมือสอง

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

Mercedes-Benz S300 3.0 W221 (2009): ความหรูหราสำหรับผู้บริหารในราคาที่เข้าถึงง่าย

Mercedes-Benz S-Class รหัสตัวถัง W221 คือเจเนอเรชันที่ 5 ของ S-Class ที่เปิดตัวในช่วงกลางยุค 2000s ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ที่สุด" ของเทคโนโลยี ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในยุคนั้น สำหรับรุ่น S300 ปี 2009 จะเป็นช่วงที่ W221 ได้รับการปรับปรุง (Facelift) และเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ที่เน้นความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของรถธงของเมอร์เซเดส-เบนซ์

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz S300 3.0 W221 (2009)

1. เครื่องยนต์เบนซิน V6 M272 3.0 ลิตร:
• ขนาด: 2,996 ซีซี (3.0 ลิตร)
• จำนวนกระบอกสูบ: V6 สูบ (6 สูบรูปตัววี) DOHC 24 วาล์ว
• ระบบวาล์ว: Variable Valve Timing (VVT)
• กำลังสูงสุด: 231 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 300 นิวตันเมตร ที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที
• เกียร์: อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-Tronic)
• สมรรถนะ: เครื่องยนต์ V6 ให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันของรถซีดานขนาดใหญ่ การตอบสนองที่นุ่มนวลและราบรื่นตามสไตล์เบนซ์ เหมาะสำหรับการเดินทางที่เน้นความสบาย เกียร์ 7G-Tronic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วและประหยัดเชื้อเพลิง
• ความประหยัด: ด้วยเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร (เทียบกับ 3.5L ใน S350) ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นเล็กน้อยสำหรับรถขนาดใหญ่ในยุคนั้น
2. ห้องโดยสารระดับ First Class พร้อมความสะดวกสบาย:
• วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูงตามมาตรฐาน S-Class ทั้งหนังแท้, ลายไม้, และอลูมิเนียม การตัดเย็บประณีต และการประกอบที่ใส่ใจในรายละเอียด
• เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพสูง ออกแบบมาให้นั่งสบายเป็นพิเศษ พร้อมระบบปรับไฟฟ้าและระบบหน่วยความจำ (Memory Seat)
• พื้นที่วางขาและศีรษะ: กว้างขวางเป็นพิเศษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: (Thermotronic) ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างอิสระ
• ระบบความบันเทิง: จอแสดงผล COMAND ขนาดใหญ่
3. ช่วงล่างถุงลม Airmatic (Adaptive Damping System):
• เป็นจุดเด่นสำคัญของ S-Class W221 ที่ทำให้การขับขี่นุ่มนวลราวกับลอยอยู่บนอากาศ
• สามารถปรับระดับความสูงของรถและปรับความหนืดของโช้คอัพได้อัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพถนนและความเร็วในการขับขี่ มอบความสบายสูงสุดและยังคงความมั่นคงในการควบคุม
• มีโหมด Comfort และ Sport ให้เลือกปรับ
4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (สำหรับยุคนั้น):
• ระบบ Keyless-Go: เข้า-ออกและสตาร์ทรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ (มักจะเป็นออปชันเสริม หรือมีในรุ่นที่สูงกว่า S300)
• ประตูดูด (Soft-Close Doors): ประตูจะปิดเองอย่างนุ่มนวลเมื่อปิดไม่สนิท (มักจะเป็นออปชันเสริม หรือมีในรุ่นที่สูงกว่า S300)
• ฝาท้ายไฟฟ้า: เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
• ระบบ Parktronic: เซ็นเซอร์ช่วยจอดรอบคัน
• ระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน COMAND Controller: ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านปุ่มหมุนและจอแสดงผล
5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):
• ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 8-10 ตำแหน่ง) ครอบคลุมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
• ระบบ Pre-Safe: เตรียมความพร้อมของรถก่อนเกิดการชน
• ระบบ ABS/EBD/BAS/ESP: ระบบเบรกและควบคุมเสถียรภาพที่สมบูรณ์แบบ

ข้อดีของ Mercedes-Benz S300 3.0 W221 (2009) เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความคุ้มค่าสูงสุดในการเป็นเจ้าของ S-Class:
• ราคาเข้าถึงง่ายที่สุด: เป็นรุ่นเริ่มต้นของ S-Class ทำให้มีราคาจำหน่ายป้ายแดงที่ถูกที่สุดในกลุ่มเครื่องยนต์เบนซิน และในตลาดมือสองก็มีราคาที่น่าสนใจอย่างมาก
• ประหยัดค่าใช้จ่าย: ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันและภาษีประจำปีที่ต่ำกว่ารุ่น S350 หรือ S500
2. ยังคงได้ความหรูหราและสบายระดับ S-Class:
• แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น แต่ S300 ยังคงให้ประสบการณ์การโดยสารที่หรูหราสะดวกสบายเช่นเดียวกับ S-Class รุ่นอื่น ๆ ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง วัสดุคุณภาพสูง และโดยเฉพาะ ช่วงล่างถุงลม Airmatic ซึ่งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นของ S-Class W221 ทำให้การขับขี่นุ่มนวลเป็นพิเศษ
• ฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นครบครันสำหรับการใช้งานรถหรู
3. เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ที่เพียงพอต่อการใช้งาน:
• ถึงแม้กำลังจะไม่สูงเท่า S350 แต่ 231 แรงม้า ก็เพียงพอต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การเดินทางไกล และให้การตอบสนองที่ราบรื่นและนุ่มนวลตามแบบฉบับเครื่องยนต์ V6 ของเบนซ์

สรุปจุดขายหลักของ Mercedes-Benz S300 3.0 W221 (2009):

• "สุดยอดความคุ้มค่าของซีดานหรูระดับผู้นำ": เป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของรถธงของ Mercedes-Benz ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด
• ความสบายระดับ First Class: ห้องโดยสารกว้างขวาง ช่วงล่างถุงลม Airmatic นุ่มนวลสูงสุด
• ภาพลักษณ์ที่สง่างามและคลาสสิก: W221 ยังคงดูดีมีระดับ ไม่ล้าสมัยง่ายๆ
• ค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่สมเหตุสมผลกว่ารุ่นใหญ่: ทั้งภาษีและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

โดยรวมแล้ว Mercedes-Benz S300 3.0 W221 (2009) เป็นรถซีดานหรูมือสองที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่และการโดยสารระดับสูงสุด พร้อมภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ในราคาที่คุ้มค่า และมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่ประหยัดกว่ารุ่นพี่ครับ

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

Mercedes-Benz S350 3.5 W221 (2009): ความหรูหราล้ำสมัยระดับผู้นำ

Mercedes-Benz S-Class รหัสตัวถัง W221 คือเจเนอเรชันที่ 5 ของ S-Class ที่เปิดตัวในช่วงกลางยุค 2000s และได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็น "ที่สุด" ของเทคโนโลยี ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในยุคนั้น สำหรับรุ่น S350 ปี 2009 จะเป็นช่วงที่ W221 ได้รับการปรับปรุง (Facelift) ทำให้มีฟังก์ชันและเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz S350 3.5 W221 (2009)

1. เครื่องยนต์เบนซิน V6 M272 3.5 ลิตร:
• ขนาด: 3,498 ซีซี (3.5 ลิตร)
• จำนวนกระบอกสูบ: V6 สูบ (6 สูบรูปตัววี) DOHC 24 วาล์ว
• ระบบวาล์ว: Variable Valve Timing (VVT)
• กำลังสูงสุด: 272 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
• แรงบิดสูงสุด: 350 นิวตันเมตร ที่ 2,400-5,000 รอบ/นาที
• เกียร์: อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-Tronic)
• สมรรถนะ: เครื่องยนต์ V6 ให้พละกำลังที่เหลือเฟือสำหรับการขับขี่ในทุกสภาพถนน การตอบสนองที่นุ่มนวลและราบรื่น พร้อมอัตราเร่งที่น่าประทับใจ เกียร์ 7G-Tronic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วและประหยัดเชื้อเพลิง
• ความประหยัด: แม้จะเป็นรถขนาดใหญ่ แต่ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์และเกียร์ที่ทันสมัย ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ยอมรับได้
2. ห้องโดยสารระดับ First Class พร้อมความสะดวกสบายสูงสุด:
• วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูงสุด ทั้งหนังแท้, ลายไม้จริง, และอลูมิเนียม การตัดเย็บประณีต และการประกอบที่ไร้ที่ติ
• เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพสูง ออกแบบมาให้นั่งสบายเป็นพิเศษ พร้อมระบบปรับไฟฟ้าหลายทิศทาง, ระบบหน่วยความจำ (Memory Seat), ระบบนวด, ระบบทำความร้อน/ระบายอากาศ (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)
• พื้นที่วางขาและศีรษะ: กว้างขวางเป็นพิเศษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: (Thermotronic) ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างอิสระสำหรับผู้โดยสารแต่ละคน
• ระบบความบันเทิง: จอแสดงผล COMAND ขนาดใหญ่, ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon Logic7 (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน), ช่องเชื่อมต่อต่างๆ
3. ช่วงล่างถุงลม Airmatic (Adaptive Damping System):
• เป็นจุดเด่นสำคัญของ S-Class W221 ที่ทำให้การขับขี่นุ่มนวลราวกับลอยอยู่บนอากาศ
• สามารถปรับระดับความสูงของรถและปรับความหนืดของโช้คอัพได้อัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพถนนและความเร็วในการขับขี่ มอบความสบายสูงสุดและยังคงความมั่นคงในการควบคุม
• มีโหมด Comfort และ Sport ให้เลือกปรับ
4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีล้ำสมัย (สำหรับยุคนั้น):
• ระบบ Keyless-Go: เข้า-ออกและสตาร์ทรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ
• ประตูดูด (Soft-Close Doors): ประตูจะปิดเองอย่างนุ่มนวลเมื่อปิดไม่สนิท
• ฝาท้ายไฟฟ้า: เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
• ระบบ Parktronic: เซ็นเซอร์ช่วยจอดรอบคัน
• ระบบ Night View Assist: (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน) กล้องอินฟราเรดช่วยมองเห็นในเวลากลางคืน
• ระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน COMAND Controller: ควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ผ่านปุ่มหมุนและจอแสดงผล
5. ระบบความปลอดภัยระดับสูงสุด (Pre-Safe, Distronic Plus):
• ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 8-10 ตำแหน่งขึ้นไป) ครอบคลุมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
• ระบบ Pre-Safe: เตรียมความพร้อมของรถก่อนเกิดการชน (เช่น ดึงเข็มขัดนิรภัย, ปรับเบาะนั่ง)
• ระบบ ABS/EBD/BAS/ESP: ระบบเบรกและควบคุมเสถียรภาพที่สมบูรณ์แบบ
• ระบบ Distronic Plus (Adaptive Cruise Control): (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับระยะห่างตามรถคันหน้า
• ระบบ Blind Spot Assist: (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน) เตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา

จุดขายหลักของ Mercedes-Benz S350 3.5 W221 (2009):

1. "ความหรูหราและเทคโนโลยีระดับผู้นำในราคาที่คุ้มค่า": S-Class W221 ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและสถานะทางสังคม การเป็นเจ้าของรถระดับนี้ในราคาตลาดมือสองที่ลดลงมามาก ถือเป็นความคุ้มค่าอย่างยิ่ง
2. ความสบายในการขับขี่และการโดยสารสูงสุด: ด้วยช่วงล่างถุงลม Airmatic และห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อความสบายขั้นสุด ทำให้การเดินทางทุกครั้งเป็นประสบการณ์ที่ผ่อนคลาย
3. สมรรถนะเครื่องยนต์ V6 ที่นุ่มนวลและทรงพลัง: เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทุกรูปแบบ พร้อมความนุ่มนวลและเสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะ
4. เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย (สำหรับยุคนั้น): ฟังก์ชันต่างๆ เช่น Keyless-Go, ประตูดูด, ระบบ COMAND, และระบบความปลอดภัย Pre-Safe ยังคงใช้งานได้ดีและให้ความรู้สึกพรีเมียม
5. ภาพลักษณ์ที่สง่างามและคลาสสิก: W221 มีดีไซน์ที่ดูดีเหนือกาลเวลา ยังคงให้ความรู้สึกเป็นรถผู้บริหารระดับสูง ไม่ล้าสมัยง่ายๆ

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

รุ่นใหม่ ไฟหน้าเคลียร์เลนส์ เครื่องฝาร่องแล้ว ไมล์แท้ 13X,XXX Km. ปี 2005 BENZ C180 KOMPRESSOR W 203 ตาถั่ว เครื่องฝาร่อง รุ่นใหม่ 1800 เบนซิน ออโต้ ประหยัดน้ำมันมากๆ ดูแลง่าย ประวัติดีมากๆ ขับสนุกมากๆ แรงและประหยัดกว่ารุ่น รถออกศูนย์เบนซ์ เบาะไฟฟ้า สามารถเช็คประวัติย้อนหลังได้ครับ การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอน คุ้มมากๆ แฟนพันธุ์แท้ BENZ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงดูรถไม่เป็นก็ซื้อได้ เพราะเรารับประกันว่า รถสวย+เลขไมล์แท้ เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลต่อได้อย่างสบายใจ สภาพเดิมทุกจุด

รถบ้านแท้ๆ ไม่ใช่รถยึดจากไฟแนนซ์หรือรถเช่าประมูล เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข ซื้อสด ไม่ต้องจ่าย VAT 7 เปอร์เซนต์

Mercedes-Benz C180 Kompressor 1.8 W203 (2005) Classic: ความหรูหราที่เข้าถึงได้

Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W203 คือเจเนอเรชันที่ 2 ของ C-Class ที่เข้ามาทำตลาดในช่วงต้นยุค 2000s ซึ่งยังคงความสง่างามตามสไตล์ Mercedes-Benz แต่เพิ่มความทันสมัยและสปอร์ตมากขึ้น รุ่น C180 Kompressor เป็นรุ่นเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์ Kompressor (Supercharger) ที่ให้สมรรถนะที่ดีและประหยัดเชื้อเพลิง สำหรับปี 2005 จะเป็นช่วงปลายของรุ่น W203 ก่อนเปลี่ยนโฉม ซึ่งได้รับการปรับปรุงหลายจุด

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz C180 Kompressor 1.8 W203 (2005) Classic

1. เครื่องยนต์เบนซิน M271 1.8 ลิตร Kompressor:

   • ขนาด: 1,796 ซีซี (1.8 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ: 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบอัดอากาศแบบ Kompressor (Supercharger)
   • กำลังสูงสุด: 143 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 220 นิวตันเมตร ที่ 2,500-4,200 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5G-Tronic)
   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ Kompressor ให้พละกำลังที่ดีตั้งแต่รอบต่ำ มีแรงบิดที่ต่อเนื่อง ทำให้รถออกตัวและเร่งแซงได้อย่างมั่นใจ การทำงานของเครื่องยนต์ค่อนข้างนุ่มนวลและเงียบตามสไตล์เบนซ์
   • ความประหยัด: ด้วยขนาดเครื่องยนต์ที่ไม่ใหญ่มากและระบบอัดอากาศที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ยอมรับได้สำหรับรถยุโรปในยุคนั้น

2. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่คลาสสิกแต่สง่างาม:

   • ดีไซน์ภายนอก: รูปลักษณ์ที่ยังคงความสง่างามของ Mercedes-Benz ด้วยเส้นสายที่โค้งมนและดูดีตลอดกาล ถึงแม้จะเป็นรถที่มีอายุพอสมควรแล้ว
   • ไฟหน้าแบบ "ถั่ว" (Peanut-shaped Headlights): เป็นเอกลักษณ์ของ W203 ที่ทำให้จดจำได้ง่าย
   • ภายในห้องโดยสาร: เน้นความหรูหราเรียบง่าย วัสดุที่ใช้มีคุณภาพดีตามมาตรฐาน Mercedes-Benz โดยเฉพาะในรุ่น Classic ที่จะเน้นการตกแต่งด้วยลายไม้และโทนสีภายในที่อบอุ่น
   • เบาะนั่ง: นุ่มสบาย ให้การรองรับที่ดี เหมาะสำหรับการเดินทางทั้งในเมืองและนอกเมือง

3. ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลและมั่นคง:

   • ช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนมาเพื่อเน้นความสบายในการขับขี่ ซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนได้ดี ทำให้การเดินทางราบรื่นและลดความเมื่อยล้า
   • การควบคุมรถยังคงให้ความรู้สึกหนักแน่นและมั่นคงตามสไตล์รถเยอรมัน

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก:

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: ควบคุมอุณหภูมิได้สะดวกสบาย
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: ควบคุมเครื่องเสียงและฟังก์ชันอื่นๆ ได้
   • กระจกไฟฟ้าและกระจกมองข้างปรับ/พับไฟฟ้า:
   • เครื่องเสียง: วิทยุ CD (อาจมี Magazine Changer ในบางรุ่น)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 6 ตำแหน่งขึ้นไป) ครอบคลุมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System): ป้องกันล้อล็อก
   • ระบบ ESP (Electronic Stability Program): ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ในรุ่นปี 2005 มักจะมีมาให้)
   • ระบบเบรก BAS (Brake Assist System): เสริมแรงเบรกฉุกเฉิน

จุดขายหลักของ Mercedes-Benz C180 Kompressor 1.8 W203 (2005) Classic:

1. "รถหรูราคาเข้าถึงได้ พร้อมความสง่างามตลอดกาล": เป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของรถ Mercedes-Benz ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ คุณยังคงได้สัมผัสกับความรู้สึกหรูหรา และภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ดาวสามแฉก
2. เครื่องยนต์ Kompressor ที่ทรงพลังและเชื่อถือได้: เครื่องยนต์ M271 พร้อม Supercharger ให้สมรรถนะที่ดีสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างทนทาน หากได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ
3. ช่วงล่างนุ่มนวล ขับสบาย: เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความนุ่มนวลในการขับขี่ และต้องการรถที่ให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง
4. ความปลอดภัยตามมาตรฐานรถยุโรป: ระบบความปลอดภัยพื้นฐานและระบบควบคุมเสถียรภาพที่ให้มา ถือว่าดีเยี่ยมสำหรับรถในยุคนั้น
5. อะไหล่และอู่ซ่อม: เนื่องจากเป็นรถรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง ทำให้มีอะไหล่มือสองและอู่ซ่อมเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ W203 อยู่จำนวนมาก ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่สูงเท่ารถเบนซ์รุ่นใหม่ๆ

Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon: ซีดานหรูจากแดนอาทิตย์อุทัย

Toyota Crown คือซีดานเรือธงของ Toyota ในตลาดญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศทั่วโลก (ยกเว้นตลาดหลักอย่างอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก) โดยรุ่นนี้คือเจเนอเรชันที่ 12 (S180) หรือที่รู้จักกันในฉายา "Zero Crown" ซึ่งเป็นการปฏิวัติการออกแบบและวิศวกรรมของ Crown ให้มีความทันสมัยและสปอร์ตขึ้นจากรุ่นก่อนๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความหรูหราและความสบายขั้นสุดไว้อย่างครบถ้วน รุ่น Royal Saloon เป็นรุ่นที่เน้นความหรูหราและความสะดวกสบายเป็นหลัก

สเปกเด่นของ Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon

1. เครื่องยนต์ V6 4GR-FSE 2.5 ลิตร พร้อมระบบ D4 (Direct Injection):

   • ขนาด: 2,499 ซีซี (2.5 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ: V6 สูบ (6 สูบรูปตัววี) DOHC 24 วาล์ว
   • ระบบวาล์ว: Dual VVT-i
   • ระบบจ่ายเชื้อเพลิง: D4 (Direct Injection) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้และประหยัดน้ำมัน
   • กำลังสูงสุด: 215 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 260 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT (Electronic Controlled Transmission)
   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่ลื่นไหลและนุ่มนวลตามสไตล์เครื่องยนต์ V6 ของ Toyota ตอบสนองได้ดีสำหรับการขับขี่ในเมืองและเดินทางไกล เหมาะกับการใช้งานแบบผู้บริหารที่เน้นความสบาย
   • ความประหยัด: ด้วยเทคโนโลยี Direct Injection และเกียร์ 6 จังหวะ ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีสำหรับรถขนาดใหญ่ในยุคนั้น

2. ห้องโดยสารระดับ First Class พร้อมความสะดวกสบายสูงสุด:

   • วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูง การตัดเย็บประณีต และการประกอบที่ใส่ใจในรายละเอียดตามมาตรฐานรถยนต์ญี่ปุ่นระดับพรีเมียม
   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยวัสดุคุณภาพดี (มักจะเป็นผ้ากำมะหยี่หรือหนังสังเคราะห์เกรดดีในรุ่น Royal Saloon) ออกแบบมาให้นั่งสบาย โดยเฉพาะผู้โดยสารตอนหลังที่มีพื้นที่วางขากว้างขวาง
   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน: พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
   • เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับพับได้จากด้านหลัง: (ในบางรุ่นย่อย หรือเป็นออปชัน) เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง
   • คอนโซลกลางและแผงประตู: ตกแต่งด้วยลายไม้และวัสดุโครเมียมอย่างประณีต

3. ช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลและมั่นคง:

   • ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ (Double Wishbone ด้านหน้า, Multi-link ด้านหลัง) ที่ได้รับการปรับจูนมาเพื่อเน้นความนุ่มนวลในการโดยสารสูงสุด ดูดซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนได้ดีเยี่ยม ทำให้การเดินทางราบรื่นและสบาย
   • โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนในห้องโดยสาร

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button: เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกและสตาร์ทรถ
   • หน้าจอสัมผัสกลาง (Multi-information Display): ควบคุมระบบเครื่องเสียง, ระบบนำทาง (ถ้ามี), และข้อมูลการขับขี่
   • ระบบเครื่องเสียง: คุณภาพเสียงดี พร้อมลำโพงหลายตำแหน่ง
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: ควบคุมระบบเครื่องเสียงและฟังก์ชันอื่นๆ ได้สะดวก
   • ม่านบังแดดหลังไฟฟ้า: เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความร้อน
   • ระบบเปิดฝากระโปรงท้ายไฟฟ้า: (บางรุ่นย่อย)

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (สำหรับยุคนั้น):

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 6-8 ตำแหน่งขึ้นไป สำหรับรุ่นระดับนี้) ครอบคลุมทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก
   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VSC): ช่วยป้องกันการลื่นไถล (ในรุ่นท็อปและบางรุ่นย่อย)
   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC): (ในรุ่นท็อปและบางรุ่นย่อย)
   • ระบบไฟหน้า AFS (Adaptive Front-lighting System): ปรับทิศทางตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ในรุ่นท็อป/ออปชัน)

จุดขายหลักของ Toyota Crown 2.5 (2006) Royal Saloon:

1. "ความหรูหราและสบายสไตล์ญี่ปุ่นในราคาที่จับต้องได้": Crown Royal Saloon ให้ประสบการณ์การขับขี่และการโดยสารระดับพรีเมียม ด้วยความนุ่มนวล ความเงียบ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน ในราคาที่คุ้มค่ามากในตลาดรถมือสอง
2. เครื่องยนต์ V6 ที่ลื่นไหลและทนทาน: เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร V6 ของ Toyota ขึ้นชื่อเรื่องความน่าเชื่อถือ ความทนทาน และการทำงานที่ราบรื่น ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปโดยไม่จุกจิก
3. ช่วงล่างนุ่มนวลสบายขั้นสุด: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความนุ่มนวลในการขับขี่ หรือต้องการรถสำหรับผู้บริหารที่เน้นการนั่งสบายในทุกสภาพถนน
4. ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Toyota: การันตีด้วยชื่อเสียงของ Toyota ในเรื่องคุณภาพ ความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง รวมถึงอะไหล่ที่หาได้ง่าย ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
5. ความเงียบภายในห้องโดยสาร: ด้วยการออกแบบและวัสดุซับเสียงที่ดีเยี่ยม ทำให้ Crown มีห้องโดยสารที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการเดินทางไกล หรือการทำงานขณะเดินทาง

BMW 323i 2.4 E36 "นกแก้ว" (ปี 1999) AT: ผสานความคลาสสิกกับความคุ้มค่า

BMW E36 คือเจเนอเรชันที่ 3 ของ BMW 3 Series ซึ่งได้รับฉายาว่า "นกแก้ว" จากรูปทรงไฟหน้าที่โดดเด่น ถือเป็นหนึ่งใน BMW 3 Series ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบรถยุค 90s ด้วยสมรรถนะการขับขี่สไตล์ BMW ที่เป็นเอกลักษณ์ การที่คุณระบุว่าเป็นรุ่น 323i เครื่อง 2.4 ลิตรนั้น อาจจะหมายถึงเครื่องยนต์ M52B25 

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (BMW 323i E36 1999)

• เครื่องยนต์:
  • เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง (Inline-6) รหัส M52B25
  • ขนาด: 2,494 ซีซี (2.4 ลิตร)
  • ระบบวาล์ว: DOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบ Double VANOS (ในรุ่นปี 1999)
  • กำลังสูงสุด: 170 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
  • แรงบิดสูงสุด: 245 นิวตันเมตร ที่ 3,950 รอบ/นาที
  • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงของ BMW ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวล การทำงานที่ราบรื่น และเสียงอันไพเราะ ให้พละกำลังที่ตอบสนองได้ดีเยี่ยมสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน และยังมีแรงบิดเพียงพอสำหรับการเร่งแซง
• ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ (AT) 5 จังหวะ (Steptronic ในรุ่นหลังๆ)
• ระบบขับเคลื่อน: ล้อหลัง (RWD) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ BMW ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตในการขับขี่
• ช่วงล่าง: อิสระ MacPherson Strut ด้านหน้า และ Multi-link ด้านหลัง ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมและการควบคุมที่แม่นยำในแบบฉบับ BMW
• มิติ: ความยาวประมาณ 4,433 มม. (Sedan)

การดัดแปลงและของแต่งเพิ่ม

รถคันนี้ได้รับการปรับแต่งที่ช่วยเสริมทั้งรูปลักษณ์และความคุ้มค่าในการใช้งาน:

1. ติดตั้งแก๊ส LPG:
   • จุดเด่น: การติดตั้งแก๊ส LPG ทำให้รถคันนี้มีความประหยัดเชื้อเพลิงสูงมาก เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในยุคที่ราคาน้ำมันค่อนข้างสูง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมหาศาล เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานรถบ่อยๆ หรือใช้เดินทางไกล
   • ระบบแก๊ส: ควรตรวจสอบว่าเป็นการติดตั้งแบบหัวฉีด (Sequential Injection) และได้รับการจูนอย่างเหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อเครื่องยนต์
2. ชุดแต่งรอบคัน:
   • จุดเด่น: การติดตั้งชุดแต่งรอบคัน (เช่น กันชนหน้า-หลัง, สเกิร์ตข้าง) ช่วยเสริมให้รถ E36 ซึ่งมีดีไซน์คลาสสิกอยู่แล้ว ดูสปอร์ต ทันสมัย และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ชุดแต่งยอดนิยมในยุคนั้นมักจะเป็น M-Technic, Hamann, AC Schnitzer หรือ Alpina
   • ความสวยงาม: ทำให้รถมีบุคลิกที่แตกต่างและดึงดูดสายตา
3. ล้อ Hamann:
   • จุดเด่น: Hamann เป็นสำนักแต่งชื่อดังของ BMW ที่ผลิตชิ้นส่วนประสิทธิภาพสูง รวมถึงล้อแม็ก ล้อ Hamann ที่ติดตั้งมาจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของรถให้ดูสปอร์ต พรีเมียม และมีระดับมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังอาจมีน้ำหนักที่เบาและแข็งแรงกว่าล้อเดิม ทำให้ช่วยเรื่องสมรรถนะการขับขี่ได้เล็กน้อย
   • ความมีสไตล์: เป็นการบ่งบอกถึงรสนิยมและความหลงใหลในแบรนด์ BMW

จุดขายหลักของ BMW 323i 2.4 E36 "นกแก้ว" (1999) AT (ติดแก๊ส, ชุดแต่ง, ล้อ Hamann):

1. "รถคลาสสิกที่ยังคงขับสนุกและคุ้มค่า": นี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเสน่ห์ของรถยุค 90s (E36) ที่ยังคงให้ประสบการณ์การขับขี่สไตล์ BMW แท้ๆ ในขณะที่การติดตั้ง LPG ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการขับขี่ประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อ
2. สมรรถนะเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงของ BMW: แม้จะเป็นรถที่มีอายุพอสมควร แต่เครื่องยนต์ M52B25 ยังคงเป็นเครื่องยนต์ที่น่าประทับใจ ให้ความนุ่มนวล กำลังที่ดี และเสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์
3. ดีไซน์อมตะและโดดเด่นด้วยชุดแต่ง: E36 มีรูปทรงที่ได้รับการยอมรับในความสวยงามอยู่แล้ว การเสริมด้วยชุดแต่งรอบคันและล้อ Hamann ยิ่งทำให้รถคันนี้ดูมีเอกลักษณ์และน่าสนใจมากขึ้นบนท้องถนน
4. ความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ (ค่าเชื้อเพลิง): การใช้ LPG ช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงลงอย่างมาก ทำให้รถ BMW ที่เคยถูกมองว่ามีค่าใช้จ่ายสูง กลายเป็นรถที่ขับขี่ได้ทุกวันในงบประมาณที่ควบคุมได้
5. ประสบการณ์ขับเคลื่อนล้อหลัง: สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่ให้การควบคุมแบบรถสปอร์ต BMW E36 ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่แบบ RWD ที่สนุกสนานและมีฟิลลิ่งที่ดี

Rare item หายากมากๆ FERRARI F355 SPIDER เปิดประทุน ออกแบบโดย Pininfarina ตัวสุดท้าย ในรุ่นเกียร์ F1 ผลิตมาแค่ 1,053 คันทั่วโลก LIMITED สีเหลืองแท้ รถนำเข้าทั้งคัน ไม่ใช่รถจดประกอบหรือรถประมูลกรมศูล หมดปัญหาเรื่อภาษีย้อนหลัง สบายใจหายห่วง

เครื่องยนต์ขุมพลัง 3.5 V8 กำลังสูงสุด 380 แรงม้า ระบบเกียร์ F1 ดูแลง่าย ขับสนุกมากๆ สภาพเดิมๆ ไม่เคยแต่งเครื่องใดๆทั้งสิ้น

รถบ้านแท้ๆ ไม่เคยชน สีเดิมจากโรงงานไม่มีริ้วรอยเลยครับ ภายในสะอาดเรียบร้อยไม่มีรอยเลย เบาะไม่เคยหุ้มใหม่ ไม่เคย RESTORE ทุกอย่างเดิมๆจากโรงงาน จอดในร่มตลอด หลังคาผ้าใบใหม่มากๆ จอดในห้องแอร์ สามารถเช็คประวัติย้อนหลังได้ครับ การันตีหารุ่นนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอนกับรถสภาพเหมือนใหม่แบบนี้และราคาที่ดีที่สุดในตอนนี้ครั คุ้มมากๆ แฟนพันธุ์แท้ รถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ สุดคลาสสิค ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ความสวยกล้าท้าระดับประกวด

ดูรถไม่เป็นก็ซื้อได้ เพราะเรารับประกันว่า รถสวย+เลขไมล์แท้ เราขายความจริง เพื่อให้ท่านดูแลต่อได้อย่างสบายใจ คุ้มมากๆ ประหยัดไปหลายล้าน กับเลขไมล์เพียง 1 หมื่นโล รุ่นนี้ราคาแข็งมากๆ ราคไม่ตก อนาคตราคาขึ้นแน่นอน สภาพเก่าเก็บ น่าสะสมมากๆ คู่มือใช้งานครบ กระเป๋าอุปกรณ์ครบทุกอย่าง ใหม่มากๆ

Ferrari F355 3.5 (1999) Spider Convertible: ตำนานที่คงความบริสุทธิ์

Ferrari F355 เป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของ Ferrari ในยุค 90s ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ดีไซน์ที่สวยงาม และประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ โดยเฉพาะรุ่น Spider Convertible ที่เปิดประทุนได้ ยิ่งเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ไปอีกขั้น

สำหรับรถที่คุณกล่าวถึงว่าเป็น รถนำเข้าทั้งคัน ไม่ใช่รถจดประกอบหรือรถประมูลกรมศุล และไม่เคย RESTORE ทุกอย่างเดิมๆจากโรงงาน นั้น ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับรถ Ferrari Classic/Modern Classic เพราะหมายถึง:

• ความสมบูรณ์แบบของ Originality: การที่รถไม่เคย Restore และยังคงสภาพเดิมๆ จากโรงงาน รวมถึงการเป็นรถนำเข้าทั้งคัน ไม่ใช่รถจดประกอบหรือประมูล ทำให้รถคันนี้มีคุณค่าและความบริสุทธิ์สูงมากในสายตาของนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบ Ferrari
• ประวัติที่ชัดเจน: การเป็นรถนำเข้าทั้งคัน แสดงถึงเอกสารการนำเข้าที่ถูกต้องและประวัติการดูแลรักษาที่มักจะต่อเนื่องมากกว่ารถจดประกอบ

สเปกเด่นของ Ferrari F355 3.5 (1999) Spider Convertible:

1. เครื่องยนต์ V8 วางกลาง DOHC 5 วาล์ว/สูบ:

   • ขนาด: 3,495 ซีซี (3.5 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ: V8 สูบ วางกลางลำตัวรถ
   • กำลังสูงสุด: 380 แรงม้า (PS) ที่ 8,250 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 363 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที
   • เทคโนโลยี 5 วาล์ว/สูบ: เป็นจุดเด่นทางวิศวกรรมที่ทำให้เครื่องยนต์ F355 มีรอบจัดและพละกำลังที่สูงในยุคนั้น พร้อมเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ที่ไพเราะราวกับเสียงดนตรี
   • เกียร์:
     • Manual 6-speed gate shifter (เกียร์ธรรมดาแบบคันเกียร์ตาราง): เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับนักขับที่ชื่นชอบความดิบและ Engagement ในการขับขี่ (เป็นสเปกดั้งเดิมของ F355)
     • F1 Electrohydraulic (Sequential Manual): เป็นเกียร์กึ่งอัตโนมัติที่ Ferrari เริ่มนำมาใช้ใน F355 รุ่นหลังๆ (สำหรับปี 1999 อาจมีทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับสเปกจากโรงงาน) ซึ่งมอบประสบการณ์แบบรถแข่ง
   • สมรรถนะ: อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในประมาณ 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดกว่า 295 กม./ชม. ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากสำหรับรถในยุคนั้น

2. ดีไซน์ Pininfarina ที่สวยงามและอมตะ:

   • เส้นสายที่โค้งมนและลงตัว: F355 ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน Ferrari ที่มีดีไซน์สวยงามเหนือกาลเวลา โดยเฉพาะรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ยุคกลางเครื่อง
   • ไฟหน้า Pop-up: เป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตในยุค 90s ที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับรถ
   • รูปทรง Spider Convertible: หลังคาเปิดประทุนไฟฟ้า ที่เพิ่มความรู้สึกอิสระและดื่มด่ำกับเสียงเครื่องยนต์ V8 ได้อย่างเต็มที่

3. โครงสร้างและช่วงล่างที่เน้นสมรรถนะ:

   • โครงสร้างตัวถัง: Semi-monocoque พร้อมซับเฟรมด้านหลังรองรับเครื่องยนต์และช่วงล่าง
   • ช่วงล่าง: อิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone) ทั้ง 4 ล้อ พร้อมโช้คอัพปรับไฟฟ้า (Electronic Adjustable Dampers) ช่วยให้รถมีการควบคุมที่เฉียบคมและยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม

4. ภายในห้องโดยสารสไตล์สปอร์ต:

   • เน้นความเรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งานที่เน้นผู้ขับขี่
   • เบาะนั่งสปอร์ต
   • วัสดุหุ้มหนังคุณภาพสูงตามสไตล์ Ferrari

จุดขายหลักของ Ferrari F355 3.5 (1999) Spider Convertible (สภาพนี้):

1. "Ferrari Originality ที่แท้จริง": นี่คือจุดขายที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยสถานะ "รถนำเข้าทั้งคัน ไม่ใช่รถจดประกอบหรือประมูลกรมศุล และไม่เคย RESTORE ทุกอย่างเดิมๆจากโรงงาน" ทำให้รถคันนี้เป็น Asset ที่มีคุณค่าและหายากอย่างยิ่งในตลาดรถสะสม คุณจะได้สัมผัสกับ "จิตวิญญาณ" ของ F355 อย่างที่ควรจะเป็น
2. ตำนานเครื่องยนต์ V8 5 วาล์ว/สูบ: F355 เป็นรุ่นสุดท้ายของ Ferrari ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 ที่มี 5 วาล์วต่อสูบ ซึ่งให้เสียงและคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์และหาไม่ได้อีกแล้วใน Ferrari รุ่นใหม่ๆ
3. ดีไซน์ที่สวยงามอมตะ: F355 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งใน Ferrari ที่มีรูปทรงที่ลงตัวและสวยงามที่สุด สามารถจอดโชว์หรือขับไปไหนก็ได้รับความสนใจ
4. ประสบการณ์การขับขี่แบบ Pure Sports Car: ด้วยเครื่องยนต์วางกลาง การขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำหนักที่ค่อนข้างเบา และช่วงล่างที่เฉียบคม ทำให้ F355 มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดิบ สนุก และเร้าใจในแบบที่รถสปอร์ตยุคใหม่หลายคันไม่สามารถให้ได้
5. ศักยภาพในการเป็นของสะสม (Collectibility): ด้วยความที่เป็น Ferrari ยุค Modern Classic ที่มีประวัติชัดเจนและสภาพเดิมๆ จากโรงงาน ทำให้ F355 มีแนวโน้มที่จะรักษามูลค่า หรือเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาวในตลาดรถสะสม

Ferrari F355 เปิดตัวที่งานแสดงรถยนต์เจนีวาในปี 1994 โดยเป็นรถรุ่นปี 1995 แทน Ferrari 348 รุ่นปี 1990-1994 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์กลางลำของ Ferrari ที่มีกระบอกสูบน้อยกว่า 12 สูบ ซึ่งเริ่มต้นด้วย Dino 206 GT ปี 1968 348 เปิดตัวในเวลาเดียวกับที่รถสปอร์ต NSX เครื่องยนต์กลางของ Acura เปิดตัว ซึ่งแสดงให้เห็นทันทีว่ารถรุ่นล่าสุดของ Ferrari เป็นรถที่มีอารมณ์แปรปรวน ควบคุมยาก และล้าสมัยมาก ซึ่งนักข่าวรถยนต์ร่วมสมัยหลายคนที่เคยทดสอบ 348 เมื่อรถรุ่นนี้ออกใหม่ก็ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

Ferrari F355 เทียบกับ 348 ความแตกต่าง

F355 นั้นดูไม่ต่างจาก 348 แต่ได้รับการออกแบบใหม่โดยตัดช่องระบายอากาศขนาดใหญ่แบบเปิดด้านข้างที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Testarossa ออกไป และอัปเดตรูปลักษณ์เครื่องยนต์กลางลำตัวของ Ferrari สำหรับยุค 1990 เครื่องยนต์ F129B ใหม่นั้นเป็นเครื่องยนต์ของ 348 ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่โดยพื้นฐานแล้ว โดยมีความจุเพิ่มขึ้นจาก 3.4 ลิตรเป็น 3.5 ลิตร พร้อมกับการปรับปรุงอื่นๆ อีกมากมาย หัวสูบ 5 วาล์วและก้านสูบไททาเนียมทำให้สามารถเร่งรอบสูงสุดที่ 8,500 รอบต่อนาทีและทำให้ F355 มีแรงม้า 375 แรงม้า โดยบังเอิญ F355 มีกำลังแรงม้าต่อลิตรสูงสุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตขึ้นในขณะนั้น

การปรับปรุงเฟอร์รารี่ F355

นอกจากนี้ F355 ยังนำเสนอวิธีแก้ไขปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับ Ferrari มาเป็นเวลาหลายปี ตัวอย่างเช่น กระปุกเกียร์แบบมีประตูโลหะของ Ferrari มักจะมีปัญหาเมื่ออากาศเย็น แต่ F355 ได้นำตัวแลกเปลี่ยนความร้อนจากสารหล่อเย็นมาใช้ ซึ่งจะทำให้เกียร์อุ่นขึ้นได้เร็วขึ้น ระบบจัดการเครื่องยนต์ของ Motronic ยังช่วยให้ F355 ทำงานได้ราบรื่นขึ้นเมื่ออากาศเย็น และเมื่อใช้ร่วมกับคลัตช์ที่ควบคุมได้แม่นยำ การทำงานของคันเกียร์ที่ขับเคลื่อนด้วยก้านที่แม่นยำแทนระบบที่ควบคุมด้วยสายเคเบิลของ 348 และพวงมาลัยพาวเวอร์ไฮดรอลิกใหม่ ทำให้การขับขี่ในเมืองง่ายขึ้นเช่นกัน NSX แสดงให้เห็นว่ารถยนต์หรูที่มีเครื่องยนต์กลางไม่จำเป็นต้องขับยาก และ F355 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงหลักการดังกล่าว ทำให้อาจเป็น Ferrari ที่น่าอยู่ที่สุดสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน

ไฮไลท์ของ Ferrari F355

Ferrari F355 เป็นรถรุ่นสุดท้ายในยุคการออกแบบที่นำโดย Pininfarina ของ Ferrari โดยยังคงลักษณะการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาจากรุ่นต่างๆ ในช่วงทศวรรษ 1980 และรุ่นก่อนหน้า เช่น ดีไซน์ส่วนท้ายรถแบบลอย, กระจังหน้าทรงรีตรงกลางกันชนหน้า, การออกแบบภายในที่เรียบง่ายอย่างไม่ค่อยประณีต และท่อระบายความร้อนแนวนอนที่ติดตั้งด้านข้างที่โดดเด่น

F355 ย่อมาจากอะไร

นอกจากนี้ F355 ยังยกเลิกเครื่องหมายการค้าชื่อรุ่นของ Ferrari ที่ใช้เครื่องยนต์กลางตัวรถชั่วคราว โดยตัวเลขสองตัวแรกของชื่อรถระบุถึงความจุกระบอกสูบ ในขณะที่ตัวเลขสุดท้ายระบุถึงจำนวนกระบอกสูบ ("348" หมายถึงความจุกระบอกสูบ 3.4 ลิตร 8 สูบ) สำหรับ F355 "355" หมายถึงความจุกระบอกสูบ 3.5 ลิตร 5 วาล์วต่อกระบอกสูบ

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

ฟรีดาวน์ ออกรถง่ายที่สุด ดอกเบี้ยถูก รับรถได้ทันที 

Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback

Toyota Yaris เจเนอเรชันที่ 3 (XP150) ที่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2013 เป็นรุ่นที่ปรับขนาดเครื่องยนต์ลงมาเป็น 1.2 ลิตร เพื่อให้เข้าโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car Phase 1) โดยรุ่น 1.2 G AT ถือเป็นรุ่นย่อยที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างครบครันในยุคนั้น

สเปกเด่นของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. เครื่องยนต์ 3NR-FE Dual VVT-i 1.2 ลิตร:

   • ขนาด: 1,197 ซีซี (1.2 ลิตร)
   • จำนวนกระบอกสูบ/วาล์ว: 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว
   • กำลังสูงสุด: 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
   • แรงบิดสูงสุด: 108 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i
   • สมรรถนะ: เน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ให้ความคล่องตัวในการจราจรติดขัด และมีอัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เกียร์ CVT ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่น
   • ความประหยัดน้ำมัน: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Yaris Eco Car โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ดีเยี่ยม (จากข้อมูลโรงงานทำได้ถึง 20 กม./ลิตร)

2. ดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยและลงตัว:

   • ไฟหน้า Projector: (ในรุ่น G) ให้การส่องสว่างที่ดีกว่าไฟแบบ Multi-reflector ในรุ่นล่าง
   • กระจังหน้าดีไซน์ Trapezoidal: เอกลักษณ์ของ Yaris ในยุคนั้น ที่ดูสปอร์ตและทันสมัย
   • ล้ออัลลอย 15 นิ้ว: (ในรุ่น G) ขนาดกำลังดี เข้ากับตัวรถ
   • รูปทรง Hatchback: 5 ประตู ที่ดูสปอร์ตและมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่ยืดหยุ่น

3. ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเกินคาด (สำหรับรถ Eco Car):

   • พื้นที่ห้องโดยสาร: แม้จะเป็นรถ Eco Car แต่ Yaris โดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สบายกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ทำให้เป็นรถที่นั่งได้จริงสำหรับ 4-5 คน
   • พื้นที่เก็บสัมภาระ: ด้านท้ายมีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และสามารถพับเบาะหลังเพิ่มพื้นที่ได้
   • เบาะนั่ง: หุ้มผ้า (ในรุ่น G) ออกแบบมาให้รองรับสรีระได้ดี
   • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS: ควบคุมง่าย ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่จำเป็น:

   • ระบบปรับอากาศ: แบบลูกบิด (ในรุ่น G)
   • ระบบเครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3/WMA พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (รองรับ Bluetooth ในบางรุ่นย่อย หรือเป็นออปชันเสริม)
   • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง (ในรุ่น G)
   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags): สำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System): ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน
   • ระบบ EBD (Electronic Brake-force Distribution): กระจายแรงเบรกให้เหมาะสมในแต่ละล้อ
   • ระบบ BA (Brake Assist): เสริมแรงเบรกในกรณีเบรกฉุกเฉิน
   • โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA: ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชน

สรุปความแตกต่างที่สำคัญของ Yaris 1.2 G AT จากรุ่นย่อยอื่น ๆ:

• เหนือกว่ารุ่น E, J, J ECO:

  • อุปกรณ์อำนวยความสะดวก: รุ่น G ได้รับฟีเจอร์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน เช่น ปุ่มสตาร์ท (Push Start), ระบบ Smart Entry (Keyless), พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุม, ไฟหน้า Projector และไฟตัดหมอก ซึ่งทำให้การขับขี่และใช้งานง่ายขึ้นและดูทันสมัยขึ้น
  • ความสวยงาม: ล้ออัลลอย 15 นิ้ว และไฟหน้าที่ดูดีกว่า
  • มาตรวัด: มาตรวัดเรืองแสง Optitron เพิ่มความคมชัดและสวยงาม

• ความปลอดภัย: ทุกรุ่นย่อยของ Yaris 1.2 ในปี 2014 (รุ่นที่เข้าโครงการ Eco Car Phase 1) จะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง และระบบเบรก ABS/EBD/BA เป็นมาตรฐานเท่ากันหมด จึงไม่แตกต่างกันในจุดนี้

จุดขายหลักของ Toyota Yaris 1.2 (2014) G AT Hatchback:

1. "รถคันแรกที่ลงตัวสำหรับชีวิตเมือง": ด้วยขนาดที่กะทัดรัด ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และความคล่องตัวในการขับขี่ ทำให้ Yaris เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานในเมือง การจอดรถ หรือการขับขี่ในที่แคบ
2. ประหยัดน้ำมันสุดๆ: การเป็น Eco Car และเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร พร้อมเกียร์ CVT ทำให้ Yaris มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
3. ความน่าเชื่อถือของ Toyota: เป็นที่ยอมรับในเรื่องความทนทานของเครื่องยนต์และเกียร์ ค่าบำรุงรักษาไม่แพง อะไหล่หาง่าย มีศูนย์บริการทั่วประเทศ ทำให้มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
4. ราคาเข้าถึงง่ายในตลาดมือสอง: เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดมือสอง ทำให้หาซื้อได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผล และมีสภาพให้เลือกหลากหลาย
5. อุปกรณ์ครบครันสำหรับรุ่น G: รุ่น G ถือเป็นรุ่นท็อปของเครื่อง 1.2 ลิตรที่ให้ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบถ้วนและสะดวกสบายเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสตาร์ท, ระบบ Smart Entry, หรือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
6. พื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์: ตัวถังแบบ Hatchback พร้อมเบาะหลังที่พับได้ ช่วยให้สามารถบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้เมื่อจำเป็น เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

รถมือเดียวออกห้าง โฉมใหม่ Volvo V60 2.0 T8 Inscription 4WD ตัวรถผลิตและออกรถปี 2020 แท้ๆ การันตีสภาพ รถสวย+เลขไมล์แท้ๆ 120,XXX Km. เช็คศูนย์ตลอด ประวัติดีมากๆ รถวิ่งทางไกล ไม่โทรม เจ้าของมีธุรกิจหลายจังหวัด ดูแลดีมากๆ รถบ้านแท้ๆ

เครื่องเบนซิน 2000 ชูปเปอร์ชาร์จ motor ไฟฟ้า 407 แรงม้า ออโต้ 8 สปีด แรงและประหยัดมากๆ รถสวยจัดๆ ออกศูนย์ VOLVO รับประกัน รถสวย+ไมล์แท้ มี BOOK SERVICE กุญแจสำรองครบ เอาสำเนาไปเช็คประวัติได้ ออปชั่นเต็ม หลังคาแก้ว เนวิเกเตอร์ เบาะไฟฟ้า PUSH START ฝาท้ายไฟฟ้า เครื่องเสียง HARMAN/KARDON แม็กขอบ 19 ยางเพิ่งเปลี่ยนปี 2024 มิชลิน PILOT กล้องรอบคัน หัวเกียร์คริสตัล ภายในสวยหรูมากๆ เจ้าของดูแลอย่างดี เช็คศูนย์ทุกระยะ ไม่เคยขาด สภาพดีมากๆ ไม่เคยชนหรือคว่ำ กล้ารับประกันสภาพแบบนี้ ดูแลรถไม่เป็นก็ซื้อได้ รถบ้านแท้ๆ ฟรีดาวน์ จัดไฟแนนซ์ได้เยอะ ดอกเบี้ยถูก ออกรถง่ายที่สุด ยินดีรับฟังทุกเงื่อนไข

รถบ้านแท้ๆ ออกห้างป้ายแดง ไม่ใช่รถยึดจากไฟแนนซ์หรือรถเช่าประมูล เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ เช็คศูนย์ตลอดทุกระยะไม่เคยขาด เจ้าของจอดมากกว่าใช้ เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถต่อได้อย่างสบายใจ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข ยังอยู่วารันตีแบตเตอรี 8 ปี หรือ 150,000 km สบายใจหายห่วง

เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 1,969 ซีซี. 4 สูบ รหัส B4204T35 พ่วง Turbocharged และ Supercharged กำลังสูงสุด 320 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมพละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic พร้อมระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ Lithium-ion 11.6 kWh แรงดันไฟฟ้า 270-400 V ขับเคลื่อนล้อหน้า – ล้อหลังขับเคลื่อนด้วย Electric Rear Axel Drive รองรับน้ำมันสูงสุด E10 13-14 กิโลเมตร/ลิตร 

สิ่งที่เพิ่มจากรุ่น Momentum

• ล้ออัลลอย 19 นิ้ว 8 x 19″ 5-Multi Spoke Black Diamond Cut
• แดชบอร์ดหน้าหุ้มด้วยหนัง เดินตะเข็บด้าย
• วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร Drift Wood Decor
• หัวเกียร์คริสตัล Orrefors
• ระบบแจ้งเตือนเพื่อให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Alert
• ระบบไฟหน้าหักเหตามพวงมาลัย Active Bending Headlights
• การแสดงข้อมูลบนกระจกบังลมด้านหน้าผู้ขับขี่ Head-up Display
• ระบบช่วยในการจอด แบบถอยหลังเข้าซอง และ ขนานขอบทาง Park Assist Pilot
• กล้องช่วยในการจอดรถ พร้อมจอแสดงผลด้วยภาพ 360 องศา
• เซนเซอร์ช่วยในการจอด ด้านหน้า
• ระบบบันทึกความจำตำแหน่ง Memory Seat ฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า
• ส่วนรองรับบริเวณเอวในพนักพิงหลังเบาะคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง
• หลังคากระจก Panoramic เปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า
• ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
• ฝาท้าย เปิด-ปิดโดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate
• ระบบนำทาง Navigation System
• เครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay / Android Auto
• เครื่องเสียง Harman Kardon Premium Sound
• เครื่องเสียง Amplifier 600 watt
• ลำโพง 14 ตัว พร้อม Subwoofer

รถมือเดียวออกห้าง เล่มทะเบียนพร้อมโอน ตัวรถผลิตและออกรถปี 2021 แท้ๆ 18/3/2021 Volvo S90 Recharge T8 Inscription 4WD โฉมใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ สวยและแตกต่างจากตัวเก่าหลายจุด ไมล์แท้ๆ 100,XXX Km. เช็คศูนย์ตลอด ประวัติดีมากๆ รถวิ่งทางไกล ไม่โทรม เจ้าของมีธุรกิจหลายจังหวัด ขายราคาสมเหตุสมผล วารันตีแบตเตอรี 8 ปี หรือ 150,000 km ( เจ้าของซื้อวารันตีตัวรถเพิ่มจากปกติ 3 ปีเป็น 5 ปี หมด 18/3/2026 ) สบายใจหายห่วง ใช้งานยาวๆ รถบ้านแท้ๆ

เครื่องเบนซิน 2000 ชูปเปอร์ชาร์จ motor ไฟฟ้า 407 แรงม้า ออโต้ 8 สปีด แรงและประหยัดมากๆ สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ไกลถึง 41 – 49 กิโลเมตร รถสวยจัดๆ ออกศูนย์ VOLVO รับประกัน รถสวย+ไมล์แท้ มี BOOK SERVICE กุญแจสำรองครบ เอาสำเนาไปเช็คประวัติได้

ออปชั่นเต็ม ภายในสีน้ำตาล+ลายไม้ ให้อารมณ์ในการขับขี่ หลังคาซันรูฟ จอทัชสกรีน เนวิเกเตอร์ เบาะไฟฟ้า PUSH START ฝาท้ายไฟฟ้า เครือ่งเสียง BOWERS WILKINS แม็กขอบ 19 ขาง Mกล้องรอบคัน หัวเกียร์คริสตัล ภายในสวยหรูมากๆ เจ้าของดูแลอย่างดี เช็คศูนย์ทุกระยะ ไม่เคยขาด สภาพดีมากๆ ไม่เคยชนหรือคว่ำ กล้ารับประกันสภาพแบบนี้ ดูแลรถไม่เป็นก็ซื้อได้ สีเดิมทั้งคัน ไม่เคยทำสี

ฟรีดาวน์ จัดไฟแนนซ์ได้เยอะ ดอกเบี้ยถูก ออกรถง่ายที่สุด ยินดีรับฟังทุกเงื่อนไข

รถบ้านแท้ๆ ออกห้างป้ายแดง ไม่ใช่รถยึดจากไฟแนนซ์หรือรถเช่าประมูล เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ เช็คศูนย์ตลอดทุกระยะไม่เคยขาด เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถต่อได้อย่างสบายใจ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข

Recharge T8 Plug-in Hybrid AWD เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,969 ซีซี. พ่วง Turbocharged และ Supercharged กำลังสูงสุด 320 แรงม้า ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร แรงบิด 240 นิวตันเมตร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมพละกำลังสูงสุด 407 แรงม้า จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Geartronic พร้อมระบบ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ Lithium-ion 11.6 kWh แรงดันไฟฟ้า 270-400 V ขับเคลื่อนล้อหน้า – ล้อหลังขับเคลื่อนด้วย Electric Rear Axel Drive ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตร รองรับน้ำมันสูงสุด E10 อัตราสิ้นเปลือง 1.4ลิตร/100กิโลเมตร (เคลมจากศูนย์)

สามารถเสียบปลั๊กชาร์จจากเต้าเสียบไฟฟ้าปกติ (230V/6A to 16A fuse) ที่บ้านหรือในที่จอดรถ การใช้เวลาในการชาร์จประจุไฟใหม่ขึ้นอยู่กับจำนวนแอมแปร์ หากเลือกกระแสไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่สูงสุดที่ 16A สามารถชาร์จไฟเต็มโดยใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง และ สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ไกลถึง 41 – 49 กิโลเมตร

ภายนอก Exterior

• ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว
• ไฟหน้า LED หักเหตามพวงมาลัย
• ระบบไฟสูง และ ปรับมุมส่องสว่างอัตโนมัติ
• หลังคา Sunroof เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
• ม่านบังแดด กระจกบังลมหลัง เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
• ฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
• ระบบเปิด-ปิด ฝาท้าย โดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate

ความปลอดภัยเชิงป้องกัน Preventive Safety

• ระบบป้องกันการชน City Safety เซนเซอร์ตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนนจักรยาน และสัตว์ขนาดใหญ่ พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ
• ระบบแจ้งเตือนหลีกเลี่ยงการชน Collision Warning with Auto Brake
• ระบบแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกชน Collision Warning with Auto Brake at stand still and mitigation Support – rear
• ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา BLIS – radar sensor พร้อมฟังก์ชั่นช่วยหักหลบ Steering Assist
• ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Cross Traffic Alert
• ระบบแจ้งเตือนให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Alert
• ระบบแจ้งเตือนด้วยการสั่นที่พวงมาลัยเมื่อออกนอกช่องจราจร Lane Keeping Aid

ความปลอดภัยเชิงปกป้อง Protective Safety

• ระบบปกป้องเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน Run-Off Road Protection
• ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
• ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
• ม่านถุงลมนิรภัยคู่หน้า
• ระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลัง WHIPS
• ระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง Side Impact Protection System

ระบบช่วยในการขับขี่ Driver Support System

• ระบบช่วยในการขับขี่อัตโนมัติ Pilot Assist
• ระบบปรับโหมดการขับขี่ Drive Mode Setting
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control with Queue Assist
• ระบบนำทาง Sensus Navigation System
• ระบบ Start/Stop ติด/ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
• ระบบช่วยในการจอดรถอัตโนมัติ แบบเข้าซองและจอดแบบขนาน
• กล้องรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมจอแสดงภาพ

เทคโนโลยีและเครื่องเสียง Technology & Sound

• จอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่ ขนาด 12.3 นิ้ว
• จอแสดงผลแดชบอร์ดกลางระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว
• Head-up Display แสดงข้อมูลบนกระจกบังลมหน้า
• เครื่องเสียงรองรับ Apple Car Play / Android Auto
• ระบบเครื่องเสียง Bowers & Wilkins Amplifier 1400W Class D 12 Channels
• ลำโพง 19 ตัว พร้อม Subwoofer ระบบเสียงรอบทิศทาง Quantum Logic ระบบ Dirac Dimensions
• สร้างเสียงมิติสมจริง 3 โหมด Concert / Studio / Stage และระบบ Live Sound