ผลการค้นหารถมือสอง

ตัวพิเศษ TOYOTA ALTIS GR SPORT แต่งจากศูนย์ ออกรถปี 2020 แท้ๆ สวยมากๆ เช็คศูนย์ตลอด BOOK SERVICE กุญแจสำรองครบ การันตีสภาพ รถสวย เลขไมล์ 9 หมื่นกว่าโล ประวัติดีมากๆ ไม่โทรม ดูแลดีมาก

เครื่อง 1800 เบนซิน ออโต้ PADDLE SHIFT แรงและประหยัดมากๆ ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน

ออปชั่นเต็ม ชุดแต่งรอบคัน เบาะดำ-แดง เบาะไฟฟ้า PUSH START เครื่องเล่น CD, กระจกไฟฟ้า, เซ็นทรัลล็อค, พวงมาลัยพาวเวอร์, ABS, AIRBAG,แอร์ดิจิตอล รถมือเดียวออกห้าง เจ้าของเดิมดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข ซื้อคันนี้เหมือนได้รถป้ายแดง แต่ ราคามือสอง คุ้มสุดๆ เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้คุณดูแลรถต่อได้อย่างสบายใจ ขายราคาสมเหตุสมผล 

Toyota Corolla Altis 1.8 (2020) GR Sport: ซีดานยอดนิยมที่มาพร้อมความสปอร์ตเต็มตัว

Toyota Corolla Altis เจเนอเรชันที่ 12 (รหัสตัวถัง E210) เปิดตัวในประเทศไทยช่วงปลายปี 2019 โดยมาพร้อมแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ความปลอดภัย และความนุ่มนวลในการโดยสาร สำหรับรุ่นปี 2020 นั้น GR Sport เป็นรุ่นย่อยที่เน้นความสปอร์ตและสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้น โดยได้รับการปรับแต่งจากแผนก Gazoo Racing (GR) ของ Toyota

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Toyota Corolla Altis 1.8 2020 GR Sport):

1. เครื่องยนต์เบนซิน Dual VVT-i 1.8 ลิตร (2ZR-FBE):

   • ขนาด: 1,798 ซีซี (1.8 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i

   • กำลังสูงสุด: 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 177 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift

   • รองรับเชื้อเพลิง: E85

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Dual VVT-i เป็นเครื่องยนต์ที่พิสูจน์แล้วเรื่องความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และให้พละกำลังที่เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเดินทางไกล เกียร์ CVT-i ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นและต่อเนื่อง

2. ชุดแต่ง GR Sport รอบคัน:

   • นี่คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้รุ่นนี้แตกต่างจาก Altis รุ่นอื่น ๆ ประกอบด้วย:

     • กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต: พร้อมกระจังหน้าดีไซน์เฉพาะ GR Sport

     • สเกิร์ตข้าง:

     • สปอยเลอร์หลัง:

     • ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว: ดีไซน์เฉพาะ GR Sport

     • สัญลักษณ์ GR Sport: บนตัวถัง

3. ช่วงล่างสปอร์ต GR Sport:

   • ได้รับการปรับจูนพิเศษจาก GR โดยเฉพาะสปริงและโช้คอัพ เพื่อให้มีความแข็งขึ้นเล็กน้อย (เฟิร์มขึ้น) เพิ่มความมั่นคงในการเข้าโค้ง และลดอาการโคลงเคลง ทำให้การขับขี่สปอร์ตและควบคุมได้ดีขึ้น

4. ห้องโดยสารดีไซน์สปอร์ต:

   • เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ต: หุ้มด้วยหนังสีดำสลับวัสดุสังเคราะห์ เดินด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR ที่พนักพิงศีรษะ

   • พวงมาลัยหุ้มหนัง: พร้อม Paddle Shift (ในรุ่น GR Sport)

   • การตกแต่งภายใน: คอนโซลหน้าและแผงประตูตกแต่งด้วยวัสดุ Piano Black และสีแดง

   • มาตรวัดเรืองแสง Optitron: พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID

5. แพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture):

   • ช่วยให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่

   • โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดเสียงรบกวน

   • ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระ Double Wishbone (จากเดิม Torsion Beam) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและความนุ่มนวลในการโดยสาร

6. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี:

   • จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว: รองรับ Apple CarPlay

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ:

   • ระบบ Smart Entry และ Push Start Button:

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control:

7. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง (อาจมี Toyota Safety Sense ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน):

   • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BA

   • ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC)

   • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

   • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC)

   • กล้องมองหลัง

ข้อดีของ Toyota Corolla Altis 1.8 (2020) GR Sport เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. สมรรถนะการขับขี่ที่สปอร์ตกว่า:

   • ช่วงล่าง GR Sport: เป็นจุดเด่นที่ทำให้ Altis GR Sport มีการควบคุมที่ดีขึ้น นิ่งขึ้น และมั่นคงขึ้นในการเข้าโค้ง เมื่อเทียบกับรุ่น 1.8 Sport หรือรุ่นอื่นๆ ที่เน้นความนุ่มนวล

   • พวงมาลัย Paddle Shift: เพิ่มอรรถรสในการขับขี่ที่ต้องการความสปอร์ต

2. ดีไซน์ที่โดดเด่นและเร้าใจ:

   • ชุดแต่ง GR Sport รอบคัน ทำให้รถดูสปอร์ต ดุดัน และแตกต่างจาก Altis รุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสปอร์ตและต้องการความโดดเด่นบนท้องถนน

3. ภายในสปอร์ต:

   • เบาะนั่งสปอร์ตและการตกแต่งภายในที่เน้นสีดำ-แดง ช่วยเสริมบรรยากาศการขับขี่ที่สปอร์ต

4. ความน่าเชื่อถือของ Toyota:

   • ยังคงได้ประโยชน์จากชื่อเสียงของ Toyota ในด้านความทนทาน, ค่าบำรุงรักษาต่ำ, อะไหล่หาง่าย และราคาขายต่อที่ดีเยี่ยม

     สรุปจุดขายหลักของ Toyota Corolla Altis 1.8 (2020) GR Sport:

     • "ซีดานยอดนิยมที่มาพร้อมความสปอร์ตเต็มตัว": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์นั่งขนาดกลางที่เชื่อถือได้ มีความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และต้องการความโดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ต พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นคงยิ่งขึ้น

     • ชุดแต่ง GR Sport: ดีไซน์ภายนอก-ภายในที่สปอร์ต ดุดัน และเป็นเอกลักษณ์

     • ช่วงล่างสปอร์ต GR Sport: เพิ่มความมั่นคงในการขับขี่และอรรถรสในการควบคุม

     • เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร: ทนทาน ประหยัด และรองรับ E85

     • แพลตฟอร์ม TNGA: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่และความปลอดภัย

Mercedes-Benz E350e 2.0 W213 (2017) Exclusive: ซีดานหรู Plug-in Hybrid ที่ประหยัดและล้ำสมัย

Mercedes-Benz E-Class รหัสตัวถัง W213 คือเจเนอเรชันที่ 10 ที่เปิดตัวในปี 2016 ซึ่งปฏิวัติการออกแบบทั้งภายนอกและภายในให้ดูหรูหรา ล้ำสมัย และผสานความเป็นสปอร์ตอย่างลงตัว รุ่น E350e เป็นรุ่น Plug-in Hybrid (PHEV) ที่เป็นไฮไลต์สำคัญในยุคนั้น มอบทั้งสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและความประหยัดน้ำมันสูงสุด โดยรุ่น Exclusive คือหนึ่งในทางเลือกที่เน้นความหรูหรา คลาสสิก และความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้บริหาร

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz E350e 2.0 W213 (2017) Exclusive

1. ระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid (PHEV):

   • เครื่องยนต์เบนซิน: M274 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง Turbo

     • กำลังสูงสุด: 211 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที

     • แรงบิดสูงสุด: 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบ/นาที

   • มอเตอร์ไฟฟ้า:

     • กำลังสูงสุด: 88 แรงม้า (PS)

     • แรงบิดสูงสุด: 440 นิวตันเมตร

   • กำลังรวมสูงสุด (System Output): 286 แรงม้า (PS)

   • แรงบิดรวมสูงสุด (System Torque): 550 นิวตันเมตร

   • แบตเตอรี่: Lithium-ion ความจุ 6.2 kWh (ติดตั้งอยู่ใต้พื้นกระโปรงท้าย)

   • ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้า (EV Mode): ประมาณ 30-33 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

   • เกียร์: อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-Tronic)

   • สมรรถนะ: ด้วยกำลังรวมเกือบ 290 แรงม้า และแรงบิด 550 นิวตันเมตร ทำให้ E350e มีอัตราเร่งที่จัดจ้านมาก (0-100 กม./ชม. ประมาณ 6.2 วินาที) ตอบสนองได้ทันใจในทุกช่วงความเร็ว

   • ความประหยัด: หากมีการเสียบปลั๊กชาร์จไฟสม่ำเสมอ รถคันนี้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสั้นๆ และเมื่อแบตเตอรี่หมด เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ต่ำมาก (ตาม Eco Sticker ประมาณ 40-47.6 กม./ลิตร)

2. ดีไซน์ภายนอกแบบ Exclusive:

   • กระจังหน้า: แบบคลาสสิกพร้อมดาว Mercedes-Benz บนฝากระโปรงหน้า (Hood Ornament) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Exclusive

   • กันชนหน้า-หลัง: ดีไซน์เรียบหรู เน้นความภูมิฐาน

   • ล้ออัลลอย: ดีไซน์ Multi-spoke ขนาด 18 นิ้ว (สำหรับรุ่น Exclusive)

   • โคมไฟหน้า: LED High Performance

3. ห้องโดยสารที่หรูหราและล้ำสมัย:

   • วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น หนัง ARTICO (หรือหนังแท้เป็นออปชัน), ลายไม้ (Open-pore brown ash wood trim) หรือลายไม้สีดำเงา (Black Piano Lacquer)

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนัง ARTICO เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ (Memory Seat)

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ THERMATIC: แยกโซน

   • จอแสดงผลคู่แบบ Widescreen Cockpit: หน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว 2 จอต่อเนื่องกัน (สำหรับมาตรวัดและระบบ Infotainment) สร้างความรู้สึกหรูหราและล้ำยุค (เป็นจุดเด่นของ W213)

   • ระบบควบคุมและสั่งการด้วย Touchpad: บนคอนโซลกลาง

   • ระบบเครื่องเสียง: Audio 20 CD

   • ไฟ Ambient Light: ปรับเปลี่ยนสีได้ถึง 64 สี สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร

4. ช่วงล่าง AGILITY CONTROL พร้อมระบบถุงลม AIR BODY CONTROL (เฉพาะ E350e ในรุ่นนี้):

   • เป็นจุดเด่นสำคัญที่ E350e มีเหนือกว่า E-Class รุ่นอื่นๆ

   • ช่วงล่างถุงลม AIR BODY CONTROL แบบ Multi-chamber ที่สามารถปรับความสูงและความหนืดของโช้คอัพได้อย่างอิสระ ทำให้รถมีความนุ่มนวลสูงสุด และยังคงความมั่นคงในการขับขี่ที่ความเร็วสูง

5. ระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง:

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 7 ตำแหน่ง)

   • ระบบ PRE-SAFE®: เตรียมความพร้อมของรถก่อนเกิดการชน

   • ระบบ Active Brake Assist: ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ

   • ระบบ ATTENTION ASSIST: เตือนอาการเหนื่อยล้า

   • ระบบ Active Parking Assist: ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ

   • กล้องมองหลัง: (มาตรฐานในรุ่น Exclusive)

   • ระบบ Blind Spot Assist: (ในรุ่นนี้เป็นออปชันเสริม)

ข้อดีของ Mercedes-Benz E350e 2.0 W213 (2017) Exclusive เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความประหยัดและสมรรถนะที่ลงตัวในแบบ PHEV:

   • เหนือกว่ารุ่น E220d (ดีเซล) และ E250 (เบนซิน) ในเรื่องของอัตราเร่งที่จัดจ้านกว่ามาก (แรงม้าและแรงบิดรวมสูงกว่า)

   • ประหยัดน้ำมันกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีการเสียบปลั๊กชาร์จไฟสม่ำเสมอ สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ในชีวิตประจำวัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงและมลพิษ

2. ความหรูหราและภูมิฐานของดีไซน์ Exclusive:

   • สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความคลาสสิกและภาพลักษณ์ที่ภูมิฐาน ดาวบนฝากระโปรงหน้าเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากรุ่น Avantgarde หรือ AMG Dynamic ที่เน้นความสปอร์ต

   • ภายในเน้นความหรูหราด้วยลายไม้และโทนสีเบจ (หากเลือก)

3. ช่วงล่างถุงลม AIR BODY CONTROL (มาตรฐานใน E350e ทุกรุ่นย่อย):

   • มอบความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า E-Class รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ช่วงล่างคอยล์สปริง ทำให้การเดินทางไกลเป็นไปอย่างสบายและมั่นคง

สรุปจุดขายหลักของ Mercedes-Benz E350e 2.0 W213 (2017) Exclusive:

• "ซีดานหรู Plug-in Hybrid ที่ครบเครื่องทั้งความแรง ประหยัด และความสบาย": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์พรีเมียมที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการขับขี่ในเมืองด้วยไฟฟ้า การเดินทางไกลด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความประหยัดเชื้อเพลิง

• ระบบ Plug-in Hybrid: ให้กำลังรวมสูงถึง 286 แรงม้า และประหยัดน้ำมันอย่างน่าทึ่ง

• ช่วงล่าง AIR BODY CONTROL: มอบความนุ่มนวลและสบายในการขับขี่ระดับรถหรู

• ดีไซน์ Exclusive: เน้นความหรูหรา ภูมิฐาน และคลาสสิก

• เทคโนโลยีและอุปกรณ์ครบครัน: สำหรับรถยนต์พรีเมียมในยุคนั้น โดยเฉพาะ Widescreen Cockpit

Mercedes-Benz CLK200 Kompressor 1.8 W209 (2005) Avantgarde Cabriolet

Mercedes-Benz CLK-Class รหัสตัวถัง W209 เป็นรถยนต์คูเป้และเปิดประทุน (Cabriolet) ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ C-Class (W203) แต่ได้รับการออกแบบให้มีภาพลักษณ์ที่สปอร์ตและหรูหรากว่า โดยเฉพาะรุ่น Cabriolet ที่มอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุนที่โดดเด่น สำหรับรุ่นปี 2005 นี้ เป็นช่วงกลางของโมเดล W209 ซึ่งยังคงความคลาสสิกและเทคโนโลยีที่น่าสนใจ

สเปกเด่นของรถพื้นฐาน (Mercedes-Benz CLK200 Kompressor 1.8 W209 2005 Avantgarde Cabriolet):

1. เครื่องยนต์เบนซิน M271 1.8 ลิตร Kompressor (Supercharged):

   • ขนาด: 1,796 ซีซี (1.8 ลิตร) 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบอัดอากาศแบบ Kompressor (Supercharger)

   • กำลังสูงสุด: ประมาณ 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: ประมาณ 240 นิวตันเมตร ที่ 3,000 - 4,000 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5G-Tronic)

   • สมรรถนะ: ด้วยระบบ Kompressor ทำให้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มีพละกำลังและแรงบิดที่ดีเยี่ยมสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันและเดินทางไกล ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและต่อเนื่อง

2. ตัวถัง Cabriolet (เปิดประทุน):

   • หลังคาผ้าใบไฟฟ้า (Soft Top) สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า มอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดโล่ง

   • ดีไซน์ตัวถังที่หรูหราและสปอร์ต

3. รุ่น Avantgarde:

   • เป็นรุ่นที่เน้นความสปอร์ตและความทันสมัยกว่ารุ่น Elegance

   • มักมาพร้อมกับชุดแต่งภายนอกที่ดูดุดันกว่า เช่น กระจังหน้า, กันชน

   • ภายในอาจมีการตกแต่งด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน เช่น อะลูมิเนียม หรือลายไม้โทนสว่าง

4. ห้องโดยสาร:

   • เบาะนั่งหนังแท้ (หรือหนัง ARTICO)

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Thermatic

   • ระบบเครื่องเสียงมาตรฐานของ Mercedes-Benz

   • พื้นที่โดยสาร 4 ที่นั่ง (2+2)

5. ช่วงล่าง:

   • ด้านหน้าแบบอิสระ MacPherson Strut

   • ด้านหลังแบบ Multi-link

   • ให้ความนุ่มนวลและมั่นคงในการขับขี่ตามสไตล์ Mercedes-Benz

การปรับแต่งที่เจ้าของเดิมติดตั้งมา:

1. ล้อแม็ก Carlsson:

   • Carlsson เป็นสำนักแต่งรถ Mercedes-Benz ที่มีชื่อเสียงระดับโลก การติดตั้งล้อแม็ก Carlsson บ่งบอกว่าเจ้าของเดิมให้ความสำคัญกับสไตล์และความพรีเมียม

   • ล้อ Carlsson มักมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพสูง ช่วยเสริมให้รถดูสปอร์ตและหรูหราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. จอ Android:

   • การติดตั้งจอ Android มาแทนที่วิทยุเดิม ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัยอย่างมาก เช่น ระบบนำทาง GPS, เล่นเพลง/วิดีโอจาก YouTube/Streaming Service, การเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ดีขึ้น, และสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ ได้

จุดขายหลักของ Mercedes-Benz CLK200 Kompressor 1.8 W209 (2005) Avantgarde Cabriolet:

• "รถหรูเปิดประทุนที่โดดเด่นและมีสไตล์": มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยดีไซน์ที่สวยงามและสามารถเปิดประทุนรับลมได้

• เครื่องยนต์ Kompressor: ให้พละกำลังที่ดีเยี่ยมและตอบสนองได้รวดเร็ว

• แบรนด์ Mercedes-Benz: ภาพลักษณ์ของความหรูหรา ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัย

• การตกแต่งเพิ่มเติม: ล้อ Carlsson และจอ Android ช่วยเพิ่มมูลค่าและฟังก์ชันการใช้งานให้รถดูทันสมัยและมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น

• ราคาที่เข้าถึงได้ในตลาดมือสอง: เมื่อเทียบกับราคาป้ายแดง รถรุ่นนี้มีราคาในตลาดมือสองที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการรถยุโรปเปิดประทุน

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถ สร้างพละกำลังได้ 82 แรงม้า

เครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน รวมพละกำลังได้ 279 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-Tronic Plus + Paddle Shift พร้อมช่องชาร์จไฟ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ 6.38 kWh สามารถวิ่งใน EV Mode ความเร็วสูงสุดได้ 130 km/h  อัตราสิ้นเปลือง 19-29 กิโล/ลิตร (ขึ้นอยู่กับความเร็วสภาพจราจร) ที่ทางศูนย์เคลมไว้อยู่ที่ 40-47 กโล/ลิตรตามมาตราฐานยุโรป

สิ่งที่เพิ่มจากรุ่น Avantgarde

• กาบบันไดสแตนเลส พร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz เรืองแสง
• ตัด กระจังหน้า Air Panel เปิด-ปิดได้ (เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ติดตั้งเซนเซอร์ DISTRONIC)
• ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว
• ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System
• ระบบปรับโคมไฟหน้า ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS
• ระบบไฟส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
• ระบบเปิด-ปิดฝาท้าย ด้วยระบบไฟฟ้า
• กระจังหน้า แบบ Classic
• เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า พร้อม
• Memory Seat Memory บันทึกความจำตำแหน่งพวงมาลัย-กระจกมองข้าง
• พวงมาลัยปรับระดับด้วยไฟฟ้า
• แดชบอร์ดหน้า และ แผงประตูส่วนบน หุ้มด้วยหนัง
• แผนที่นำทาง Navigation System
• ระบบป้องกัน PRE-SAFE System
• ระบบกุญแจ Keyless-GO
• ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Pilot DISTRONIC

ราคาเปิดตัว 2,990,000 บาท

Mercedes-Benz C350e 2.0 W205 (2018) AMG Dynamic: ซีดานหรู Plug-in Hybrid ที่สปอร์ตและทรงพลังที่สุด

Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W205 คือเจเนอเรชันที่ 4 ของ C-Class ที่เปิดตัวในปี 2014 และได้รับความนิยมอย่างสูงด้วยดีไซน์ที่หรูหราทันสมัยคล้าย S-Class (Baby S-Class) และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า สำหรับรุ่น C350e เป็นรุ่น Plug-in Hybrid ที่เปิดตัวในปี 2016 ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญที่ผสานสมรรถนะและความประหยัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และรุ่น AMG Dynamic คือรุ่นท็อปสุดที่เน้นความสปอร์ต ดุดัน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันที่สุด

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz C350e 2.0 W205 (2018) AMG Dynamic

1. ระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid (PHEV):

   • เครื่องยนต์เบนซิน: M274 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง Turbo

     • กำลังสูงสุด 211 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที

     • แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบ/นาที

   • มอเตอร์ไฟฟ้า:

     • กำลังสูงสุด 82 แรงม้า (PS)

     • แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร

   • กำลังรวมสูงสุด (System Output): 279 แรงม้า (PS)

   • แรงบิดรวมสูงสุด (System Torque): 600 นิวตันเมตร

   • แบตเตอรี่: Lithium-ion ความจุ 6.38 kWh

   • ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้า (EV Mode): ประมาณ 30-31 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

   • เกียร์: อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-Tronic Plus)

   • สมรรถนะ: ด้วยกำลังรวมเกือบ 280 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 600 นิวตันเมตร ทำให้ C350e มีอัตราเร่งที่จัดจ้านมาก (0-100 กม./ชม. ประมาณ 5.9 วินาที) เทียบเท่ารถสปอร์ต

   • ความประหยัด: สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสั้นๆ และเมื่อแบตเตอรี่หมดหรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ต่ำมาก (ตาม Eco Sticker ประมาณ 40-47.6 กม./ลิตร หากมีการชาร์จแบตเตอรี่สม่ำเสมอ)

   • โหมดการขับขี่: มีโหมด Hybrid, E-Mode (ไฟฟ้าล้วน), E-Save (เก็บประจุแบตเตอรี่), Charge (ชาร์จแบตเตอรี่จากเครื่องยนต์)

2. ดีไซน์ภายนอกแบบ AMG Dynamic:

   • ชุดแต่ง AMG: กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต, สเกิร์ตข้าง

   • กระจังหน้า: แบบ Diamond Grille พร้อมดาว Mercedes-Benz ขนาดใหญ่ตรงกลาง

   • ล้ออัลลอย: ดีไซน์ AMG Multi-spoke ขนาด 18 นิ้ว

   • โคมไฟหน้า: LED High Performance (ในรุ่นปี 2018)

   • หลังคา Panoramic Sunroof: เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า (จุดเด่นสำคัญของรุ่น AMG Dynamic)

3. ห้องโดยสารที่หรูหราและสปอร์ต:

   • วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น หนัง ARTICO, ลายอลูมิเนียม หรือลาย Carbon Fiber (ในบางรุ่น)

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนัง ARTICO (หรือหนังแท้ในบางออปชัน) เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ (Memory Seat)

   • พวงมาลัย: แบบ 3 ก้าน ดีไซน์สปอร์ต AMG พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ THERMATIC: แยกโซน

   • จอแสดงผล: จอ Command Online ขนาด 8.4 นิ้ว พร้อม Touchpad Controller

   • ระบบเครื่องเสียง: Audio 20 CD (อาจมี Burmester Surround Sound System เป็นออปชัน)

   • ไฟ Ambient Light: ปรับได้ 3 สี

4. ช่วงล่างถุงลม Airmatic (เฉพาะ C350e):

   • เป็นจุดเด่นสำคัญที่ C350e มีเหนือกว่า C-Class รุ่นอื่นๆ (ยกเว้น C43/C63 AMG)

   • ช่วงล่างถุงลม Airmatic ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลและสบายเป็นพิเศษ สามารถปรับความสูงของรถและปรับความหนืดของโช้คอัพได้อัตโนมัติ ทำให้รถมีความมั่นคงในการขับขี่ที่ความเร็วสูงและซับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง:

   • ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านถุงลม, หัวเข่าคนขับ)

   • ระบบเบรก ABS/EBD/BAS/ESP

   • ระบบ Active Parking Assist (ช่วยจอดอัตโนมัติ)

   • กล้องมองหลัง

   • ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้า (ATTENTION ASSIST)

   • ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (COLLISION PREVENTION ASSIST PLUS)

ข้อดีของ Mercedes-Benz C350e 2.0 W205 (2018) AMG Dynamic เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ความสปอร์ตและภาพลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุด:

   • ชุดแต่ง AMG ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมล้อ AMG ขนาด 18 นิ้ว ทำให้รถดูสปอร์ต ดุดัน และมีเสน่ห์ดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้น เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความแตกต่างและไม่เหมือนใคร

   • หลังคา Panoramic Sunroof: เป็นจุดเด่นสำคัญที่เพิ่มความหรูหราและโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น AMG Dynamic

2. สมรรถนะและความประหยัดที่ลงตัว:

   • เหนือกว่ารุ่นเบนซินและดีเซลทั่วไปในเรื่องของอัตราเร่งที่จัดจ้านกว่ามาก และประหยัดน้ำมันกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีการชาร์จแบตเตอรี่สม่ำเสมอ

   • การขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนในระยะสั้นๆ ช่วยลดมลพิษและประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในเมือง

3. ช่วงล่างถุงลม Airmatic (มาตรฐานใน C350e ทุกรุ่นย่อย):

   • มอบความนุ่มนวลในการขับขี่ที่เหนือกว่า C-Class รุ่นอื่นๆ ที่ใช้ช่วงล่างคอยล์สปริง ทำให้การเดินทางไกลเป็นไปอย่างสบาย

สรุปจุดขายหลักของ Mercedes-Benz C350e 2.0 W205 (2018) AMG Dynamic:

• "ซีดานหรู Plug-in Hybrid ที่สปอร์ตที่สุด ครบเครื่องทั้งความแรง ประหยัด และความสบาย": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์พรีเมียมที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการขับขี่ในเมืองด้วยไฟฟ้า การเดินทางไกลด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมดีไซน์ที่สปอร์ตดุดันและอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุด

• ระบบ Plug-in Hybrid: ให้กำลังรวมสูงถึง 279 แรงม้า และประหยัดน้ำมันอย่างน่าทึ่ง

• ช่วงล่าง Airmatic: มอบความนุ่มนวลและสบายในการขับขี่ระดับรถหรู

• ดีไซน์ AMG Dynamic: โดดเด่น สปอร์ต และมีหลังคา Panoramic Sunroof เพิ่มความหรูหรา

• เทคโนโลยีและอุปกรณ์ครบครัน: สำหรับรถยนต์พรีเมียมในยุคนั้น

ราคาเปิดตัว 3,340,000 บาท

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถ สร้างพละกำลังได้ 82 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 19-29 กิโลเมตร/ลิตร (ขึ้นอยู่กับความเร็ว และสภาพจราจร)

เครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน รวมพละกำลังได้ 279 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-Tronic Plus + Paddle Shift พร้อมช่องชาร์จไฟ Plug-in Hybrid แบตเตอรี่ 6.38 kWh สามารถวิ่งใน EV Mode ความเร็วสูงสุดได้ 130 km/h

สิ่งที่จะได้เพิ่มจากรุ่น Avantgarde

• ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว
• ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System
• ระบบปรับโคมไฟหน้า ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS
• ระบบไฟส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง Cornering Light
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
• ระบบเปิด-ปิดฝาท้าย ด้วยระบบไฟฟ้า
• กระจังหน้า แบบ Classic
• เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า พร้อม Memory Seat
• Memory บันทึกความจำตำแหน่งพวงมาลัย-กระจกมองข้าง
• พวงมาลัยปรับระดับด้วยไฟฟ้า
• แดชบอร์ดหน้า และ แผงประตูส่วนบน หุ้มด้วยหนัง
• แผนที่นำทาง Navigation System
• ระบบป้องกัน PRE-SAFE System
• ระบบกุญแจ Keyless-GO
• ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Pilot DISTRONIC

ราคาเปิดตัว 2,990,000 บาท

Mercedes-Benz S350 CDI 3.0 W221 (2010) AMG: ซีดานดีเซลหรูที่ทรงพลังและประหยัด (รุ่นไมเนอร์เชนจ์)

Mercedes-Benz S-Class รหัสตัวถัง W221 คือเจเนอเรชันที่ 5 ของ S-Class ที่เปิดตัวในช่วงกลางยุค 2000s ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและเทคโนโลยีขั้นสูงสุด สำหรับรุ่นปี 2010 นี้เป็นช่วงที่ W221 ได้รับการปรับปรุง (Facelift) ทำให้มีดีไซน์ที่ทันสมัยขึ้นและเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยรุ่น S350 CDI เป็นตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบที่มอบทั้งพละกำลังที่เหนือกว่า ประหยัดน้ำมัน และแรงบิดมหาศาล พร้อมชุดแต่ง AMG ที่เสริมความสปอร์ตหรู

สเปกเด่นของ Mercedes-Benz S350 CDI 3.0 W221 (2010) AMG

1. เครื่องยนต์ดีเซล V6 OM642 3.0 ลิตร Commonrail Turbo (BlueEFFICIENCY):

   • ขนาด: 2,987 ซีซี (3.0 ลิตร) V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว เทอร์โบ พร้อม Intercooler

   • กำลังสูงสุด: 235-258 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและปีการผลิตที่แม่นยำ, รุ่น Facelift มักจะมาพร้อมกำลังที่สูงขึ้น)

   • แรงบิดสูงสุด: 540-620 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที (แรงบิดมหาศาล)

   • เกียร์: อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-Tronic Plus)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ดีเซล V6 ตัวนี้ให้พละกำลังและแรงบิดที่ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะแรงบิดที่มาตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ทรงพลังและตอบสนองได้ทันใจในทุกช่วงความเร็ว (0-100 กม./ชม. ประมาณ 7.0 วินาที) เหมาะสมอย่างยิ่งกับรถซีดานขนาดใหญ่

   • ความประหยัด: เป็นจุดเด่นสำคัญของเครื่องยนต์ดีเซล แม้จะเป็นรถขนาดใหญ่และมีสมรรถนะสูง แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมและประหยัดกว่ารุ่นเบนซินอย่างชัดเจน

2. ชุดแต่ง AMG และล้อ AMG:

   • ดีไซน์ภายนอก: การติดตั้งชุดแต่ง AMG (กันชนหน้า-หลัง, สเกิร์ตข้าง) ทำให้รถ S-Class ที่ปกติจะดูภูมิฐาน กลายเป็นรถที่ดูสปอร์ต ดุดัน และมีเสน่ห์ดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้น

   • ล้อ AMG: ขนาดใหญ่ (มักจะเป็น 19 หรือ 20 นิ้ว) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้รถดูเต็มและมีสมรรถนะ

   • ภายใน: อาจมีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยพวงมาลัยสปอร์ต AMG, แป้นเหยียบสเตนเลส, หรือวัสดุตกแต่งเฉพาะ

3. ห้องโดยสารระดับ First Class พร้อมความสะดวกสบายสูงสุด:

   • วัสดุและงานประกอบ: ภายในใช้วัสดุคุณภาพสูงสุด ทั้งหนังแท้, ลายไม้, และอลูมิเนียม การตัดเย็บประณีต และการประกอบที่ไร้ที่ติ

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพสูง ออกแบบมาให้นั่งสบายเป็นพิเศษ พร้อมระบบปรับไฟฟ้าหลายทิศทาง, Memory Seat, และอาจมีระบบนวด/ทำความร้อน/ระบายอากาศ (ขึ้นอยู่กับออปชัน)

   • พื้นที่วางขาและศีรษะ: กว้างขวางเป็นพิเศษทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เหมาะสำหรับการเดินทางไกล

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซน (Thermotronic):

   • ระบบความบันเทิง: จอแสดงผล COMAND ขนาดใหญ่, ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon Logic7 (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

4. ช่วงล่างถุงลม Airmatic (Adaptive Damping System):

   • เป็นจุดเด่นสำคัญของ S-Class W221 ที่ทำให้การขับขี่นุ่มนวลราวกับลอยอยู่บนอากาศ

   • สามารถปรับระดับความสูงของรถและปรับความหนืดของโช้คอัพได้อัตโนมัติ มอบความสบายสูงสุดและยังคงความมั่นคง

5. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีล้ำสมัย (สำหรับยุคนั้น):

   • ระบบ Keyless-Go: เข้า-ออกและสตาร์ทรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ

   • ประตูดูด (Soft-Close Doors):

   • ฝาท้ายไฟฟ้า: เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

   • ระบบ Parktronic: เซ็นเซอร์ช่วยจอดรอบคัน

   • ระบบ Night View Assist: (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • ระบบควบคุมมัลติฟังก์ชัน COMAND Controller:

6. ระบบความปลอดภัยระดับสูงสุด:

   • ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง: (มักจะ 8-10 ตำแหน่งขึ้นไป)

   • ระบบ Pre-Safe: เตรียมความพร้อมของรถก่อนเกิดการชน

   • ระบบ ABS/EBD/BAS/ESP:

   • ระบบ Distronic Plus (Adaptive Cruise Control): (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • ระบบ Blind Spot Assist: (ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

ข้อดีของ Mercedes-Benz S350 CDI 3.0 W221 (2010) AMG เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. เหนือกว่ารุ่น S300 และ S350 (เบนซิน) ในด้านแรงบิดและความประหยัด:

   • แรงบิดมหาศาล: ด้วยแรงบิด 540-620 นิวตันเมตร ทำให้ S350 CDI มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในรอบต่ำเมื่อเทียบกับรุ่นเบนซินที่มีแรงบิดน้อยกว่ามาก

   • ประหยัดน้ำมันกว่าชัดเจน: เครื่องยนต์ดีเซลมีประสิทธิภาพในการประหยัดเชื้อเพลิงสูงกว่าเครื่องยนต์เบนซินอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำกว่ามาก

   • ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงต่อกม. ที่คุ้มค่ากว่า: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานรถบ่อยๆ หรือเดินทางไกล

2. ความสปอร์ตและภาพลักษณ์ด้วยชุดแต่ง AMG:

   • การมีชุดแต่ง AMG และล้อ AMG เป็นจุดเด่นที่ทำให้รถดูสปอร์ต หรูหรา และมีราคาแพงกว่ารุ่นมาตรฐานที่ไม่มีชุดแต่งนี้อย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความโดดเด่นและรสนิยม

3. ยังคงได้ความหรูหราและสบายระดับ S-Class:

   • S350 CDI ยังคงมีฟังก์ชันและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องโดยสารระดับเดียวกับ S-Class รุ่นอื่นๆ รวมถึงช่วงล่างถุงลม Airmatic ที่มอบความสบายสูงสุด

จุดขายหลักของ Mercedes-Benz S350 CDI 3.0 W221 (2010) AMG:

• "ซีดานหรูดีเซลที่ทรงพลัง ประหยัด และมีสไตล์": เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการรถ S-Class ที่มีสมรรถนะสูงจากเครื่องยนต์ดีเซล (แรงบิดดีเยี่ยม) และประหยัดน้ำมันอย่างโดดเด่น พร้อมภาพลักษณ์สปอร์ตหรูด้วยชุดแต่ง AMG

• แรงบิดมหาศาล: เหมาะกับการขับขี่ทุกรูปแบบ มั่นใจในการเร่งแซง

• ประหยัดน้ำมันกว่าเบนซิน: ลดภาระค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสำคัญ

• ดีไซน์ AMG: โดดเด่น มีระดับ ไม่เหมือนใคร

• ความสบายระดับ First Class: ห้องโดยสารกว้างขวาง นุ่มนวล เงียบสงบ

Honda Civic 1.8 (2010) FD E i-VTEC: ซีดานคอมแพกต์ยอดนิยมตลอดกาล (รุ่นไมเนอร์เชนจ์)

Honda Civic เจเนอเรชันที่ 8 (รหัสตัวถัง FD) หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม "Civic FD" ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายตั้งแต่เปิดตัวในปี 2005 ด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัย ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม รุ่นปี 2010 นี้เป็นช่วงที่ได้รับการปรับปรุง (Minorchange) ครั้งที่ 2 (FD Minorchange II) ซึ่งมีการปรับดีไซน์ภายนอกเล็กน้อยและเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก สำหรับรุ่น 1.8 E i-VTEC ถือเป็นรุ่นกลางที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากมาพร้อมฟังก์ชันที่จำเป็นครบครัน

สเปกเด่นของ Honda Civic 1.8 (2010) FD E i-VTEC

1. เครื่องยนต์เบนซิน R18A 1.8 ลิตร i-VTEC:

   • ขนาด: 1,799 ซีซี (1.8 ลิตร) 4 สูบเรียง SOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC

   • กำลังสูงสุด: 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 174 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5-speed Automatic Transmission)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความทนทาน ประหยัดน้ำมัน (โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วคงที่) และให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและนอกเมือง การตอบสนองที่นุ่มนวลและต่อเนื่องตามสไตล์ Honda

   • รองรับเชื้อเพลิง E20: เป็นข้อดีในยุคนั้นที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง

2. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่ทันสมัยและโดดเด่น:

   • ดีไซน์ภายนอก (Minorchange II): มีการปรับปรุงกระจังหน้า, กันชนหน้า-หลัง, และไฟท้าย (ไฟท้ายโดนัท) ให้ดูสปอร์ตและทันสมัยยิ่งขึ้น

   • ไฟหน้าแบบ Projector: ให้การส่องสว่างที่ดี

   • ภายในห้องโดยสาร (Dual-Layered Dashboard): เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Civic FD ด้วยมาตรวัดแบบ 2 ชั้น (Digital Speedometer ด้านบน และ Analog Tachometer ด้านล่าง) ซึ่งดูทันสมัยและให้ข้อมูลการขับขี่ที่ชัดเจน

   • เบาะนั่ง: หุ้มด้วยผ้าคุณภาพดี (ในรุ่น E) ออกแบบมาให้นั่งสบายและมีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับรถคอมแพกต์ในยุคนั้น

3. ห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบาย:

   • พื้นที่วางขาและศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังกว้างขวาง นั่งสบาย เหมาะสำหรับการเดินทางไกล

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: (ในรุ่น E) เพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมอุณหภูมิ

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก:

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง

   • ระบบเครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (สำหรับ FD Minorchange II)

   • กระจกไฟฟ้า One-touch: สำหรับคนขับ

   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags):

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System):

   • ระบบ EBD (Electronic Brake-force Distribution):

   • โครงสร้างตัวถัง G-CON/ACE: ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชน

ข้อดีของ Honda Civic 1.8 (2010) FD E i-VTEC เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. เหนือกว่ารุ่น 1.8 S AT (รุ่นเริ่มต้น):

   • ได้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: เพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมอุณหภูมิ

   • พวงมาลัย Multi-function: ควบคุมเครื่องเสียงได้สะดวกขึ้น

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control): ช่วยให้ขับขี่ทางไกลสบายขึ้น

   • ไฟตัดหมอกหน้าและล้ออัลลอย 16 นิ้ว: เพิ่มความสวยงามและทัศนวิสัย

   • กระจกมองข้างพับไฟฟ้า: เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

   • โดยรวม: เป็นรุ่นที่เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สำคัญเข้ามา ทำให้มีความคุ้มค่ามากกว่ารุ่นเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ต้องการฟังก์ชันเหล่านี้

สรุปจุดขายหลักของ Honda Civic 1.8 (2010) FD E i-VTEC:

• "ซีดานคอมแพกต์ยอดนิยมตลอดกาล": ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ห้องโดยสารล้ำสมัย และความน่าเชื่อถือ ทำให้ Civic FD ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดมือสอง

• เครื่องยนต์ 1.8L i-VTEC ทนทาน ประหยัด: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป และมีชื่อเสียงด้านความทนทานและประหยัดน้ำมัน

• ห้องโดยสารกว้างขวางและนั่งสบาย: เหมาะสำหรับใช้งานเป็นรถส่วนตัวหรือรถครอบครัว

• ออปชันครบครันในรุ่น E: ได้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, Cruise Control, พวงมาลัย Multi-function ที่เพิ่มความสะดวกสบาย

• ความน่าเชื่อถือของ Honda และราคาขายต่อดี: เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดมือสอง ทำให้มั่นใจได้เรื่องการบำรุงรักษาและมูลค่าในอนาคต

รถตลาดยอดนิยม จดทะเบียนปี 2010 HONDA JAZZ 1.5 SV ตัวท็อปสุด การันตีสภาพ ประวัติดีมากๆ รถสวย เลขไมล์แท้ รถบ้านแท้ๆ ซื้อเงินสด ไม่บวกแวท 7 เปอร์เซนต์ เล่มพร้อมโอน

เครื่องเบนซิน 1500 VTEC เกียร์ออโต้ PADDLE SHIFT แรงและประหยัดมากๆ ไม่เคยติดแก๊ส ขับง่าย ประหยัดมาก กำลังเครื่องดีมาก ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ทนทาน

ออปชั่นเต็ม DVD TV พ.มัลติ เพาเวอร์ กระจกไฟฟ้า ล้อแม็กรุ่นใหม่ เบาะหนัง

เจ้าของดูแลอย่างดีมากๆ สภาพดีที่สุดแน่นอน คุณเลือกได้จะซื้อรถแบบไหน คุณคือคนที่เลือกเอง รับฟังทุกเงื่อนไข เราขายความจริง ไม่มีการกลับไมล์ เพื่อให้ท่านดูแลรถได้อย่างสบายใจ ไม่เคยบรรทุกหนัก รถสวย สภาพเดิมๆออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

ออกรถได้ง่ายที่สุด รับฟังทุกเงื่อนไข ดอกเบี้ยถูกที่สุด ออกได้ทุกอาชีพ

Honda Jazz 1.5 (2010) SV i-VTEC Hatchback: แฮทช์แบ็กยอดนิยมที่อเนกประสงค์ (รุ่นท็อป)

Honda Jazz เจเนอเรชันที่ 2 (รหัสตัวถัง GE) เปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2008 และได้รับความนิยมอย่างสูงต่อเนื่อง ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และความอเนกประสงค์จากเบาะนั่ง Ultra Seat สำหรับรุ่นปี 2010 นี้เป็นช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุด และรุ่น SV i-VTEC ถือเป็นรุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ครบครัน

สเปกเด่นของ Honda Jazz 1.5 (2010) SV i-VTEC Hatchback

1. เครื่องยนต์เบนซิน L15A 1.5 ลิตร i-VTEC:

   • ขนาด: 1,497 ซีซี (1.5 ลิตร) 4 สูบเรียง SOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC

   • กำลังสูงสุด: 120 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 145 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ CVT (Continuously Variable Transmission) พร้อม Paddle Shift (ในรุ่น SV)

   • สมรรถนะ: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่ตอบสนองได้ดี และประหยัดน้ำมัน เกียร์ CVT ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นและต่อเนื่อง

   • จุดเด่น: เครื่องยนต์ 1.5 i-VTEC เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และประสิทธิภาพ

2. ห้องโดยสารที่กว้างขวางและอเนกประสงค์สูงสุด (Ultra Seat):

   • Magic Seat / Ultra Seat: เป็นจุดเด่นสำคัญของ Honda Jazz ที่ไม่มีใครเทียบได้ เบาะนั่งสามารถปรับพับได้หลากหลายรูปแบบ (Utility Mode, Tall Mode, Long Mode) ทำให้สามารถขนย้ายสัมภาระที่มีขนาดแตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานอย่างสูงสุด

   • พื้นที่ห้องโดยสาร: แม้จะเป็นรถ Hatchback ขนาดเล็ก แต่ Jazz โดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบายสำหรับผู้โดยสารทุกคน

   • วัสดุภายใน: การออกแบบภายในดูทันสมัยในยุคนั้น เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าคุณภาพดี

3. ดีไซน์ภายนอกและภายในที่ทันสมัยและลงตัว:

   • ดีไซน์ภายนอก: รูปทรง Hatchback 5 ประตูที่ดูสปอร์ตและทันสมัย พร้อมไฟหน้าแบบ Multi-reflector และไฟท้าย LED (ในบางรุ่นย่อย/ปี)

   • ล้ออัลลอย 16 นิ้ว: (ในรุ่น SV) ขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มความสปอร์ตและลงตัวกับตัวรถ

4. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี (รุ่น SV):

   • Paddle Shift: แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เพิ่มความสนุกในการขับขี่และสามารถควบคุมเกียร์ได้ด้วยตัวเอง

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ:

   • พวงมาลัย Multi-function: พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง

   • ระบบเครื่องเสียง: วิทยุ CD/MP3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX (รองรับ Bluetooth ในบางรุ่นย่อย/ออปชัน)

   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า:

5. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags):

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System):

   • ระบบ EBD (Electronic Brake-force Distribution):

   • โครงสร้างตัวถัง G-CON/ACE: ช่วยดูดซับแรงกระแทกจากการชน

ข้อดีของ Honda Jazz 1.5 (2010) SV i-VTEC Hatchback เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. เหนือกว่ารุ่น S และ V:

   • ได้ Paddle Shift: เพิ่มอรรถรสในการขับขี่ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง ให้ความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้น

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ: เพิ่มความสะดวกสบายในการควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสาร

   • ล้ออัลลอย 16 นิ้ว: เพิ่มความสวยงามและสปอร์ตให้กับรูปลักษณ์ภายนอก

   • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า: เพิ่มความสะดวกสบายในการจอดรถหรือใช้งานในที่แคบ

   • โดยรวม: เป็นรุ่นที่ให้ฟังก์ชันและอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุดในกลุ่มเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำให้มีความสะดวกสบายและความคุ้มค่ามากกว่ารุ่นย่อยที่ต่ำกว่า

2. ความคุ้มค่าในฐานะรถ Hatchback อเนกประสงค์:

   • เทียบกับรถยนต์ประเภทอื่นๆ Jazz ยังคงโดดเด่นเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่นสูงสุด ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการรถคันเดียวที่ตอบโจทย์ได้ทั้งการขับขี่ในเมือง การเดินทางกับเพื่อนฝูง/ครอบครัวเล็กๆ และการขนสัมภาระ

สรุปจุดขายหลักของ Honda Jazz 1.5 (2010) SV i-VTEC Hatchback:

• "แฮทช์แบ็กสุดอเนกประสงค์ พร้อมออปชันจัดเต็ม": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถขนาดกะทัดรัดที่คล่องตัว แต่มีพื้นที่ใช้สอยภายในที่ยืดหยุ่นและกว้างขวางที่สุดในกลุ่มเดียวกัน

• Ultra Seat (Magic Seat): จุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ปรับพับเบาะได้หลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

• เครื่องยนต์ 1.5L i-VTEC ทนทาน ประหยัด: ให้พละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานและมีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ

• ออปชันครบครันในรุ่น SV: ได้ Paddle Shift, แอร์ Auto, ล้อ 16 นิ้ว ทำให้ขับสนุกและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

• ความน่าเชื่อถือของ Honda และราคาขายต่อดี: เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดมือสอง ทำให้มั่นใจได้เรื่องการบำรุงรักษาและมูลค่าในอนาคต

ไฮไลท์รถยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติม

Nissan 350Z 3.5 (2010) V6 Convertible AT: สปอร์ตโรดสเตอร์ที่ยังคงเร้าใจ (รุ่นปรับปรุงสุดท้าย)

Nissan 350Z (รหัสตัวถัง Z33) คือรถสปอร์ตในตำนานของ Nissan ที่สานต่อความสำเร็จจากตระกูล Z-Car เปิดตัวครั้งแรกในปี 2002 และได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะรถสปอร์ตที่ขับสนุกในราคาที่เข้าถึงได้ สำหรับรุ่นปี 2010 นี้เป็นช่วงท้ายของเจเนอเรชัน Z33 ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น 370Z โดยรุ่น Convertible (เปิดประทุน) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจพร้อมความสะดวกสบายและอิสระในการสัมผัสลมปะทะ

สเปกเด่นของ Nissan 350Z 3.5 (2010) V6 Convertible AT

1. เครื่องยนต์เบนซิน VQ35HR 3.5 ลิตร V6 (High Revolution):

   • ขนาด: 3,498 ซีซี (3.5 ลิตร) V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว

   • กำลังสูงสุด: 313 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที

   • แรงบิดสูงสุด: 358 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที

   • เกียร์: อัตโนมัติ 5 จังหวะ (5-speed Automatic Transmission) พร้อมโหมด Manual (Shift-by-wire)

   • สมรรถนะ: เครื่องยนต์ VQ35HR เป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงจาก VQ35DE ให้มีกำลังและรอบเครื่องที่สูงขึ้น ตอบสนองได้ดีเยี่ยม ให้เสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะและเร้าใจตามสไตล์รถสปอร์ต เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ในเมือง และยังคงให้การตอบสนองที่ดีเมื่อต้องการอัตราเร่ง

   • จุดเด่น: เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในเรื่องของพละกำลัง ความทนทาน และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์

2. ตัวถัง Convertible (เปิดประทุน) แบบ Soft Top:

   • อิสระในการขับขี่: สามารถเปิด-ปิดหลังคาผ้าใบด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว (ภายในเวลาประมาณ 20 วินาที) มอบประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดโล่ง สัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

   • ดีไซน์: รูปทรงที่ยังคงความสปอร์ต โฉบเฉี่ยว และดูดีไม่ตกยุค แม้จะเป็นรถเปิดประทุนก็ยังคงเส้นสายที่สวยงาม

   • โครงสร้าง: มีการเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังเพื่อชดเชยการไม่มีหลังคาแข็ง ทำให้ยังคงความมั่นคงในการขับขี่

3. ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (Rear-Wheel Drive - RWD):

   • ฟิลลิ่งสปอร์ต: การขับเคลื่อนล้อหลังเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตที่ให้ความรู้สึกในการควบคุมรถที่แม่นยำ การเข้าโค้งที่สนุก และการตอบสนองที่ตรงไปตรงมา

4. ช่วงล่างสปอร์ตที่มั่นคง:

   • ด้านหน้าแบบ Multi-link และด้านหลังแบบ Multi-link ที่ให้การยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม และความมั่นคงในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง รวมถึงการเข้าโค้ง

   • การปรับจูนช่วงล่างที่เน้นความสปอร์ต แต่ยังคงให้ความสบายในระดับที่ยอมรับได้สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

5. ห้องโดยสาร 2 ที่นั่งที่เน้นคนขับ:

   • การออกแบบ: ภายในเน้นการใช้งานของคนขับเป็นหลัก แผงคอนโซลกลางเอียงเข้าหาคนขับ มาตรวัดต่าง ๆ จัดวางอย่างลงตัว

   • วัสดุ: ใช้วัสดุคุณภาพดีตามสไตล์รถสปอร์ต

   • เบาะนั่ง: เบาะนั่งแบบ Bucket Seat ที่กระชับลำตัว ให้การรองรับที่ดีเยี่ยมในการขับขี่แบบสปอร์ต

6. ฟังก์ชันอำนวยความสะดวก:

   • ระบบเครื่องเสียง Bose: (ในบางรุ่นย่อย) ให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม

   • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ:

   • ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย:

   • กระจกไฟฟ้า:

   • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control):

7. ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน:

   • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS Airbags) และด้านข้าง

   • ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อม EBD (Electronic Brake-force Distribution) และ BA (Brake Assist)

   • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC - Vehicle Dynamic Control) (ในบางรุ่นย่อย)

   • โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง

ข้อดีของ Nissan 350Z 3.5 (2010) V6 Convertible AT เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ:

1. ประสบการณ์การขับขี่แบบเปิดประทุน:

   • เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุด มอบความรู้สึกอิสระและเร้าใจในการขับขี่ที่รถ Coupe ให้ไม่ได้ สามารถสัมผัสลม แสงแดด และเสียงเครื่องยนต์ V6 ได้อย่างเต็มที่

   • เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ตพร้อมสไตล์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

2. ความสะดวกสบายของเกียร์อัตโนมัติ:

   • เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ทำให้การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัดเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเมื่อยล้ากับการเหยียบคลัตช์และเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ

   • ยังคงให้การตอบสนองที่ดีเมื่อต้องการอัตราเร่ง หรือใช้โหมด Manual Shift

3. เครื่องยนต์ VQ35HR ที่ทรงพลังและทนทาน:

   • เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงมาอย่างดี ให้กำลังและแรงบิดที่สูง ทำให้รถมีสมรรถนะที่น่าประทับใจ

   • มีชื่อเสียงเรื่องความทนทานและดูแลรักษาง่าย (สำหรับรถสปอร์ต)

4. ดีไซน์ที่ยังคงความคลาสสิกและโฉบเฉี่ยว:

   • แม้จะเป็นรถที่ออกมานานแล้ว แต่ 350Z ยังคงมีรูปทรงที่สวยงามและเป็นที่จดจำ ทำให้ยังคงดูดีบนท้องถนน

สรุปจุดขายหลักของ Nissan 350Z 3.5 (2010) V6 Convertible AT:

• "สปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนที่เร้าใจและขับสบาย": เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถสปอร์ตที่โดดเด่น มีสไตล์ และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานทั้งแบบเปิดหลังคาและในชีวิตประจำวัน

• เครื่องยนต์ VQ35HR ที่ทรงพลัง: ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและเสียงที่เป็นเอกลักษณ์

• ความสะดวกสบายของเกียร์อัตโนมัติ: ตอบโจทย์การใช้งานในเมือง

• ดีไซน์ที่ยังคงความคลาสสิก: ดูดีไม่ตกยุค